บ่อน้ำมันวิเชียรบุรี ถ้าแชร์เรื่องมั่ว!! ก็จะได้ข้อมูลแบบมั่วๆ

ใครที่เคยได้รับทราบ หรือ ได้รับการส่งคลิปจากทางไลน์ หรือ ช่องทางอื่นๆ ประเด็นที่ว่า
ความลวง:
คนไทยรู้หรือยัง ?
ตะลึง..!!


     ขุดน้ำมันดิบที่วิเชียรบุรี ลึกไม่ถึง 1 กม.ได้วันละ 10,000 บาเรนใช้ได้นาน 20 ปี
    เตรียมส่งออกจีน..


เหยี่ยวข่าว 7สี - บ่อน้ำมันวิเชียรบุรี ขุมทรัพย์ใต้ดิน ที่เพชรบูรณ์


ความลับที่รัฐปกปิด เริ่มเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ..ที่นี่ ประเทศไทยนะ โดยสันนิษฐานว่ามาจากเนื้อหาของเหยี่ยวข่าว http://s.bugaboo.tv/wmxh และเกิดการเผยแพร่ออกไปให้เกิดการเข้าใจที่ผิด

ซึ่งทางกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้ชี้แจงดังนี้

1. ในอดีตปริมาณการผลิตสูงสุดต่อวันที่เคยผลิตได้ประมาณ 12,500 บาร์เรลต่อวัน แต่อัตราการผลิตลดลงอย่างรวดเร็วเหลือประมาณ 5,000 บาร์เรลต่อวัน ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการผลิตในปัจจุบันลดลงเหลือ 1,200 บาร์เรลต่อวัน (ตั้งแต่เดือน ก.พ.2555) เนื่องจากการผลิตน้้ามันดิบของหลุมในแหล่งส่วนใหญ่ได้มาจากชั้นหินหักเก็บปิโตรเลียมที่เป็นหินภูเขาไฟ ซึ่งโดยธรรมชาติของแหล่งกักเก็บชนิดนี้จะผลิตน้ำมันได้ในปริมาณสูงในช่วงแรกเท่านั้น

เนื่องจากในหินภูเขาไฟมีคุณสมบัติที่สามารถกักเก็บปิโตรเลียมได้น้อย (แหล่งกักเก็บเป็นลักษณะของรอยแตกในหินภูเขาไฟเนื้อแน่น จึงมีปิโตรเลียมในช่องรอยแตกเท่านั้น แตกต่างจากหินกักเก็บที่เป็นหินทราย ซึ่งจะเป็นลักษณะของรูพรุนระหว่างเม็ดทรายเมื่อทำการผลิตปิโตรเลียมจะค่อยๆ ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องตามแต่ความสามารถในการซึมได้ของปิโตรเลียม และความดันภายในแหล่ง) การผลิตปิโตรเลียมจากหินกักเก็บลักษณะหินภูเขาไฟจะหมดไปอย่างรวดเร็ว และประสบปัญหาเรื่องปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงจนเป็นเหตุให้ปิดหลุมผลิต

กราฟด้านล่างแสดงอัตราการผลิตรวมที่ระยะหนึ่งมีการผลิตได้มากถึง 12,500 บาร์เรลต่อวัน และลดลงอย่างรวดเร็ว

(ประวัติการผลิตน้้ามันดิบของ บริษัท Eco Orient Resources ซึ่งเดิมชื่อ Pan Orient Resources (Thailand) รวมทุกแหล่ง ได้แก่ วิเชียรบุรี นาสนุ่น
L44 L33 POR และบูรพา)

2. หลุมผลิตในนาสนุ่น มีหลุมเจาะที่เจาะลึกน้อยกว่า 1 กิโลเมตร จริง เนื่องจากชั้นหินกักเก็บปิโตรเลียมอยู่ในชั้นหินภูเขาไฟ ซึ่งเป็นชั้นหินกักเก็บที่ต่างจากแหล่งกักเก็บอื่นๆ ซึ่งชั้นหินกักเก็บที่อยู่ในชั้นหินทราย

3. จากข่าวรายงานว่าจะแหล่งพื้นที่ผลิตในจังหวัดเพชรบูรณ์ สามารถผลิตน้ำมันดิบไปได้อีก 20 ปีนั้น หากค้านวณจากปริมาณส้ารองที่พิสูจน์แล้ว (Proved Reserves หรือ P1)
ณ ปี 2555 มีปริมาณส้ารองอยู่ที่ 5.38 ล้านบาร์เรล ซึ่งเมื่อเทียบอัตราการผลิตปัจจุบันที่ 1,270 บาร์เรลต่อวัน แหล่งผลิตปิโตรเลียมในจังหวัดเพชรบูรณ์จะผลิตต่อไปได้ประมาณ
12 ปี เท่านั้น

4. นักข่าวรายงานว่าน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ส่งโรงกลั่นน้ำมัน หากไม่สามารถกลั่นในโรงกลั่นในประเทศได้ จะถูกส่งออกไปยังประเทศจีน และอเมริกานั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากการซื้อขายน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากแหล่งบนบกไม่มีการส่งออกไปขายต่างประเทศ ทั้งนี้ น้ำมันดิบที่ผลิตได้ทั้งหมดจะขนส่งไปยังโรงกลั่นภายในประเทศ (หยุดการส่งออกน้ำมันดิบ ตั้งแต่ ก.ย. 57)




ที่มา เอกสารชี้แจง สัมปทานปิโตรเลียมของไทย รัฐได้หรือเสียประโยชน์กันแน่




หยุดมโนวาทกรรมราคาน้ำมันไทยเท่ามาเลเซีย

คงเคยมีคนโพสต์เรื่องการรณรงค์คัดค้านทางประมูลแหล่งบงกช - เอราวัณ โดยโยงกับราคาพลังงาน และ ใช้ประโยคเชื่อมโยงที่ว่า “ราคาน้ำมันต้องเท่ามาเลเซีย”

หากวิเคราะห์ข้อมูลให้ดีว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้กับการเอามาโยงราคาน้ำมันนั้นคนละเรื่องกันทีเดียว เพราะ สาระสำคัญในการประมูลแหล่งบงกช – เอราวัณ สาระสำคัญอยู่ที่การผลิตก๊าซธรรมชาติ เพื่อเอามาผลิตไฟฟ้า

ที่มา สนพ.

ส่วนต่อมาเรื่องการที่บอกว่า ใช้ระบบจ้างผลิตได้ผลประโยชน์ตอบแทนรัฐมากกว่าระบบแบ่งปันผลิตได้ผลประโยชน์มากกว่านั้น กลุ่มคนที่เข้าใจผิด มีการอ้างไปถึงว่า จ้างผลิตได้มากกว่า คงลืมไปว่า หากรวมตัวเลขทุกตัวเข้าด้วยกันของไทยได้มากกว่าด้วยซ้ำ



ส่วนถัดมา มีความเข้าใจผิดว่า มาเลเซียมีหลุม มีบ่อน้ำมันและก๊าซน้อยกว่าเรา เรื่องหลุมน้อยกว่า มากกว่า ไม่ได้เป็นหลักฐานว่า เราร่ำรวยกว่ามาเลเซียหรือประเทศอื่นๆ แต่หากต้องพิจารณา ปริมาณที่พบด้วย 




สุดท้ายมีการเชื่อมโยงประเด็น ราคาน้ำมันไทยต้องเท่ามาเลเซีย การแปรรูป ปตท. ทำให้น้ำมันแพงขึ้น หากเป็นผู้เจริญ ฉลาด และ คิดได้ จะไม่มีตรรกะการเชื่อมโยงแบบนี้เด็ดขาด เพราะ ไม่เกี่ยวกัน ราคาน้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) หมายถึง สินค้าที่ตัวสินค้ามีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ผลิตก็ตาม เช่น เมื่อพูดถึง “ข้าวหอมมะลิ” ผู้ที่บริโภคข้าวทั่วโลกจะเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร มีลักษณะอย่างไร ซื้อหรือขายกันที่น้ำหนักเท่าไร เป็นต้น ดังนั้น ข้าวหอมมะลิ จึงจัดเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ในทางตรงข้าม เมื่อพูดถึง “รถยนต์” จะพบว่าผู้ผลิตแต่ละรายผลิตรถยนต์ที่มีลักษณะ คุณภาพ และมาตรฐานแตกต่างกันมาก รถยนต์จึงไม่จัดเป็นสินค้าโภคภัณฑ์

ด้วยเหตุที่สินค้าโภคภัณฑ์มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก เราจะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า ราคาทองคำที่ซื้อขายกันที่เยาวราชจะขึ้นลงโดยอิงกับราคาตลาดโลก


หากพิจารณาตามภาพสัดส่วนราคาเนื้อน้ำมัน หรือแม้แต่ค่าการตลาดมีแปรผันตลอด มีขึ้นและลง แต่หากในส่วนของ ภาษีกับกองทุนต่างๆ นั้น มีสัดส่วนที่เก็บเพิ่ม และไม่ค่อยลดลงอีกต่างหาก

ถ้าหากตรรกะว่าแปรรูป ปตท ทำให้น้ำมันแพง แบบนี้เท่ากับสินค้าทุกชนิดในโลกนี้ ได้รับการแปรรูปเหมือนกันหมดทุกอย่าง ตามภาพด้านล่าง


https://portal.settrade.com/blog/sombat/2010/10/22/935

https://www.businessinsider.com.au/chart-of-the-day-oil-since-1861-2011-6

แต่หากยังสงสัยอีกว่าทำไมน้ำมันมาเลเซียถูกกว่าไทย นั่นก็คือ มาเลเซียไม่มีการเก็บภาษี






หนังคนละม้วนถ้าได้รู้ความจริงเรื่องราคาน้ำมันไทยกับกัมพูชา

อาจได้มีการเห็น การแชร์เรื่องราคาน้ำมันไทยกับกัมพูชา ไทยส่งออกไปขายน้ำมันกัมพูชา โดยคนกัมพูชาใช้ถูกกว่าคนไทย ถ้าไม่คิดให้ดี หรือ ขวนขวายหาความจริงจะต้องเกิดคำถามในใจว่าทำไม ซึ่งทาง blog แฉ!! ทวงคืนพลังงาน ได้รวบรวมข้อมูลมาให้แล้วว่าเป็นอย่างไร



ได้มีเพจ น้องปอสาม ได้เฉลยข้อมูลไว้ว่า สาเหตุหลักๆ ที่ราคาต่างกันจากนโยบายทางภาษี ซึ่งจากข้อมูลรายได้ภาษีน้ำมันเป็นรายได้รัฐที่จัดเก็บในแต่ละปีมีมูลค่าสูงมาก หากลดเก็บภาษีน้ำมันลงรายได้รัฐจะหายไป 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้อันดับ 1 ในบรรดาภาษีสรรพสามิตซึ่งเป็นภาษีที่เก็บกับสินค้าฟุ่มเฟือย (ข้อมูลจากสำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เมื่อเดือน ม.ค. 2561)

สัดส่วนโครงสร้างราคาน้ำมันของไทย กับ กัมพูชา ต่างกันอย่างไร
เมื่อช่วงอาทิตยที่ผ่านมา เห็นมีการแชร์ข้อมูลว่าไทยกับกัมพูชา ราคาน้ำมันต่างกัน โดยบางชนิดอย่างดีเซลไทยแพงกว่าดีเซลกัมพูชา อาจมีการสงสัยกันว่า เป็นเพราะอะไร คำตอบคือง่ายมาก โครงสร้างราคาต่างกัน ของกัมพูชาเก็บภาษีค่อนข้างจะต่ำมากกว่าไทย ในทางกลับกัน ถ้าไทยลดเก็บภาษีน้ำมันลง รายได้รัฐจะหายไป 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้อันดับ 1 ในบรรดาภาษีสรรพสามิตซึ่งเป็นภาษีที่เก็บกับสินค้าฟุ่มเฟือย (ข้อมูลจากสำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เมื่อเดือน ม.ค. 2561)
ในส่วนราคา ส่วนอื่นๆ อย่างราคาน้ำมัน ณ โรงกลั่น จะเห็นได้ว่าไม่ต่างกันมาก ของกัมพูชาราคาสูงกว่าเรานิดหน่อย
และส่วนสุดท้ายที่กังขากันมากคือรายได้ปั๊มของไทยได้เยอะ แต่ไม่เลย รายได้ปั๊ม (ค่าการตลาด) ที่ยังไม่หักค่าดำเนินการใดๆ ออกเลยนั้น กัมพูชาได้สูงกว่าไทยเรามากนัก






ซึ่งหากรายได้ส่วนนี้ลดลง คงหนีไม่พ้นงบของกระทรวงต่างๆ อาจลดลงไปด้วย หรือในทางกลับกัน รัฐอาจต้องหาวิธีจัดเก็บภาษีจากส่วนอื่นมาทดแทนในส่วนที่หายไป




ที่มาข้อมูล



พม่าน้ำมันขุดมือ อันตราย เสี่ยงสารพิษ

เรื่องน้ำมันขุดมือ ของชาวบ้านที่มาขุดน้ำมันในพม่า มีมาแต่ในอดีตหลายสิบปีก่อน เพราะที่ในพื้นที่มีน้ำมันซึมขึ้นมาบนผิวดิน รัฐบาลท้องถิ่นอนุญาตให้ชาวบ้านขุดหาน้ำมันความลึกไม่เกิน 100 เมตร จากนั้นเอาท่อพีวีซีหย่อนลงไปเก็บน้ำมันขึ้นมา เคยผลิตได้สูงสุดถึง 25 บาร์เรลต่อวันต่อหลุม โดยต้องเสียค่าเช่าที่ประมาณ 3,000-50,000 บาท /หลุมขุดเจอก็เจอ ไม่เจอก็เจ๊งไป



หลายครอบครัว ขายไร่ขายนามาเสี่ยงโชค แล้วก็หน้าแห้งกลับไป

ตอนนี้รัฐบาลท้องถิ่น งดให้/ต่อการอนุญาตแล้ว ส่วนที่ยังเห็นขุดกันอยู่ก็คือกลุ่มที่ยังผลิตได้ ซึ่งเหลืออยู่ไม่มาก

ถ้าดูจากภาพ จะเห็นคราบการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยในระดับเละเทะ เพราะขาดมาตรการและการกำกับที่ดี (ซึ่งหมายถึงเงินลงทุน!!) และ ไม่มีที่ไหนในโลก ที่ผลิตลิตรละ 2 บาท ถ้ามีหลักฐานเอามาแสดงอย่าพูดชุ่ย

ยังไม่รวมถึงการทะเลาะเบาะแว้ง การต่อสู้แย่งชิงทำเล อาชญากรรม และปัญหาเด็กกับเยาวชน ที่จะขาดโอกาสทางการศึกษา เพราะพ่อแม่ย้ายถิ่นฐานมาปักหลักในพื้นที่

เมื่อมาตรฐานการผลิตและมาตรการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ผลิตโดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมขนาดนี้ ต้นทุนการผลิตย่อมต่ำไปด้วยเป็นธรรมดา ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลให้ปัจจุบันทางการพม่ากำหนดยุทธศาตร์ใหม่ โดยให้เอกชน รวมไปถึงรัฐ ขุดเจาะสำรวจเองในอนาคต

เหตุการณ์ก็คล้ายๆกับการเฮโลขุดแร่ที่เขาศูนย์ ดอยโง้ม เขาพนมพา บ้านน้ำเค็มที่เมืองไทย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมีกลุ่มคน NGO รวมไปถึงนักการเมือง (ที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องธรณีวิทยา) จึงอยากให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ แต่ขอโทษนะครับ ถึงจะอยากอย่างไรก็แห้วนะครับ เพราะที่เมืองไทยเรา มีที่ที่น้ำมันไหลซึมขึ้นมาใกล้ผิวดินเพีบงแห่งเดียวคือที่ฝาง และก็ไม่ได้มากมายเหมือนที่พม่าเขา หม่องเขาเพียงแต่โชคดีที่มีน้ำมันในระดับตื้นนะครับ เพราะน้ำมันดิบที่เกิดจากแอ่งสะสมตะกอนที่หนากว่า 10 กิโลเมตรนั้น ถูกขับดันไหลซึมขึ้นสู่ผิวดินตามรอยเลื่อนขนาดใหญ่เท่านั้นแหละ ไม่ได้เก่งกว่าคนไทยตรงไหนหรอกครับ

ซึ่งพม่ามีน้ำมันดิบที่ซึมผ่านชั้นหินต่างๆ ขึ้นมาจนอยู่ตื้นมาก สามารถเจาะหลุมได้ด้วยอุปกรณ์แบบเจาะน้ำบาดาล บางครั้งซึมขึ้นมาจนถึงผิวดิน (Oil seep)และมีระบบการขออนุญาตของพม่า / ให้ขุดเฉพาะหลุมตื้น / ไม่ใช้แท่นเจาะขนาดใหญ่ ส่วนไทยมีปรากฏการณ์นี้น้อยมาก ที่พบเมื่อนานมากมาแล้วคือที่ฝาง ปกติแหล่งน้ำมันของไทยอยู่ลึกประมาณ 2.5 - 3 กม. ต้องใช้แท่นเจาะแบบอุตสาหกรรม ส่วน การเจาะแบบในคลิปได้คือถ้าบ่อน้ำมันมันตื้นมากๆ แบบน้ำบาดาล อาจจะได้ แต่ถ้าเจาะแบบ Open hole อาจจะทำให้เกิดการปนเปื้อนในชั้นน้ำบาดาล (อยากทำแบบนี้ไม่ต่อต้านกันแล้วหรอ) เห็นในภาพเป็นท่อ PVC บ้านๆ พอนำเอาน้ำมันดิบขึ้นมาแล้ว ไม่มีการสวมอุปกรณ์เครื่องมือป้องกัน ไม่รู้ว่าน้ำมันดิบนั้นจะมีสารปนเปื้อนหรือเปล่า อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายเพราะได้กลิ่นและสัมผัสกับน้ำมันดิบโดยตรง แถมสภาพแวดล้อมแถวนั้นก็ดูเสื่อมโทรม ถ้าเกิดฝนตกแล้วชะล้างเอาน้ำมันดิบลงแม่น้ำล่ะ ไม่อยากจะคิดเลย พวก NGO ประเทศไทยว่ายังไง ปลาจะตาย สัตว์ที่อาศัย คนใช้น้ำในแม่น้ำไม่ได้ แต่การเจาะหลุมปิโตรเลียมในไทย เจาะลึกกว่าระดับน้ำบาดาลมาก (ระดับน้ำบาดาลลึกสุดในไทยประมาณ 600 เมตร)และ ลงท่อกรุ Casing รอบหลุม ไม่ให้สิ่งที่อยู่ในหลุมออกไปปะปนกับชั้นหินอื่น เรียกว่าเป็นระบบปิด น้ำจากการขุดเจาะยังต้องเอาไปบำบัดก่อนอัดกลับลงหลุม แถมเจ้าพนักงานก็ต้องใส่ชุดหมี ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันไอจากน้ำมันดิบอีกต่างหาก

เคยโพสต์ไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว http://bit.ly/2MGrADw
เคยมีกรณีเพื่อนบ้านเราเช่นกัน ช่วงเมษายนที่ผ่านมา ไฟไหม้บ่อน้ำมันเถื่อนในอินโดฯ http://bit.ly/2MXJaCB

#น้ำมันขุดมือ



ที่มา น้ำมันพม่าขุดมือ อันตราย เสื่องสารพิษ http://bit.ly/2D4oQJT

เห็นแล้วอึ้ง สินค้าแพงขึ้นเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันจริงหรือ?

ถ้าเห็นภาพราคาสินค้าไทย ในปีที่ผ่านมา จะอึ้งทันทีเมื่อได้เห็นความจริงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

คงเคยเห็นคนบ่นกันเรื่องราคาน้ำมันว่าของไทยแพงกว่าเพื่อนบ้าน เวลาปรับแต่ละครั้งก็จะส่งผลต่อราคาสินค้า ถึงแม้จะปรับอย่างไร สินค้าของไทยก็ไม่ได้แพงขึ้นมากที่สุด เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน


ราคาน้ำมันของไทยก็ไม่ได้แพงสุดเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน


จะเห็นได้ว่า ราคาน้ำมันในประเทศที่ถูกกว่าประเทศไทย สินค้าประเทศเหล่านั้น ก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าไทย ในขณะเดียวกัน ปรับตัวขึ้นสูงกว่าด้วย ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจาก มาตรการทางภาษี มีการจัดเก็บชดเชยรายได้รัฐ เพื่อให้ตามเป้าที่ต้องการ

ไทยอยากให้น้ำมันถูกก็ทำได้ ลดภาษีน้ำมัน แต่ไปขึ้นกับการเก็บภาษีในสินค้าแทนจะดีหรือไม่ ได้แต่ฝากให้คิด

เปิดคำตัดสิน “กองทุนน้ำมัน” เถื่อนจริงหรือไม่?

ในช่วงที่ราคาน้ำมันขึ้น หรือ มีการพูดถึงเรื่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตามสื่อ Social Media เช่น Facebook มีการหยิบนำเสนอว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็น กองทุนเถื่อน และได้มีการบอกให้ยกเลิกกองทุนน้ำมัน เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ



หากจะหยิบประเด็นหรือการพิพากมานำเสนอ จะเห็นได้ว่า คำกล่าวต่างๆ ที่มีคนโจมตีนั้น ดูไม่มีเหตุผลอย่างมาก เพราะในประเด็นดังกล่าวนี้ศาลปกครองกลางได้เคยมีคำวินิจฉัยไปแล้วตามที่ปรากฏใน คดีหมายเลขดำที่ ส.30/2558 คดีหมายเลขแดงที่ ส.145/2560  โดยศาลได้ให้เหตุผลไว้ชัดเจนซึ่งสามารถสรุปได้เป็นข้อๆดังนี้

1.การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเป็นไปตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ได้ให้อำนาจไว้  และได้มีการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว

2.คำสั่งดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีได้ออกโดยถูกต้องตามรูบแบบและขั้นตอนหรือวิธีการที่เป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนดดังกล่าว

ดังนั้นคำสั่งดังกว่าจึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและนี่ก็เป็นข้อความบางตอนที่ปรากฎในท้ายคำพิพากษา




จะเห็นได้ว่ากองทุนน้ำมันนั้นถูกตั้งขึ้นมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้เป็นกองทุนเถื่อนตามที่มีการนำเสนอ และโจมตีในสื่อ Social Media แต่อย่างใด เพราะศาลได้มีการวินิจฉัยชัดเจนไปแล้ว การแสดงความเห็นของคนที่โจมตี ในประเด็นดังกล่าว มีแต่จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และนั่นก็ดูเป็นการกระทำที่ดูไม่มีวุฒิภาวะเลย




รายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง







ข้อมูลอีกด้านการส่งออกน้ำมันในคลิป ทวงพลังงาน สะท้าน ปตท.

เรื่องคลิปที่มีการแชร์กันเยอะแยะในช่วงราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ในคลิปมีการหยิบเอาการสนทนาเรื่องการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป และได้มีการตีความกันไปต่างๆ นานา จึงนำมาขยายข้อมูลอีกด้าน



1.  ตามหลักการทำธุรกิจไม่ว่าธุรกิจใดๆก็ตาม ถ้ากำลังการผลิตสูงกว่าความต้องการ ผู้ผลิตมีทางเลือกอยู่สองทาง คือ

     1.1 ลดการผลิตให้พอดีกับความต้องการ ซึ่งแน่นอนจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูงขึ้น และถ้าผลักภาระให้ผู้บริโภคได้ ก็ผลักภาระไป ผู้บริโภคก็ต้องซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้น
      1.2 ผลิตให้เต็มกำลังการผลิต ซึ่งจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง ผู้บริโภคก็จะได้ใช้สินค้าในราคาที่ถูกลง ส่วนสินค้าส่วนเกินความต้องการในประเทศ ก็ไปหาตลาดในต่างประเทศ (ซึ่งจะมีทั้งราคาที่สูงและตำ่กว่าราคาในประเทศ) ดังนั้นราคาส่งออกจึงมีทั้งสูงและตำ่กว่าราคาในประเทศ (ไม่ใช่ตำ่กว่าทั้งหมด) ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากขายหรือไม่

2. นี่คือเรื่องธรรมดาของการทำธุรกิจที่ต้องสนองความต้องการของตลาดหลักก่อน แล้วส่วนเกินจึงเลือกว่าจะผลิตหรือไม่ ถ้าต้องการ economy of scale ก็ต้องผลิตเต็มที่ แล้วไปหาตลาดเพิ่ม ซึ่งอาจต้องใช้ราคาเป็นตัวบุกเบิกตลาด

ถ้าจะมากำหนดว่าถ้าไปขายต่างประเทศราคาถูก ก็จะต้องลดราคาในประเทศให้เท่ากัน ผู้ผลิตก็มีทางเลือกที่จะลดการผลิตให้พอดีกับความต้องการ ไม่ต้องเหนื่อยยากไปบุกเบิกตลาดใหม่ๆในต่างประเทศ และผลักภาาะต้นทุนที่สูงขึ้นให้กับผู้บริโภคไป

3. วิธีการอย่างนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เราผลิตได้มากกว่าความต้องการเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ ข้าว นำ้ตาล ปูนซีเมนต์ ผลผลิตส่วนเกินความต้องการล้วนแต่ต้องส่งออกทั้งสิ้น และบางครั้งก็ต้องส่งออกในราคาตำ่กว่าที่ขายในประเทศ อย่างเช่น ข้าว เป็นต้น

4. ราคาน้ำมันที่โรงกลั่นขายก็มาหลายราคา
      4.1 ราคาตามสัญญา ราคานี้จะเป็นราคาที่อ้างอิงราคาที่สิงคโปร์ ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนสร้างโรงกลั่น เพื่อให้ผู้ลงทุนมีความมั่นใจ ว่าสร้างแล้วจะมีลูกค้าแน่ๆ
       4.2 ราคานอกเหนือสัญญา ราคานี้จะขึ้นลงตามการแข่งขันในตลาด และอาจตำ่กว่าราคาส่งออกมากด้วยซำ้ไป ราคานี้จะมีส่วนทำให้ตลาดนำ้มันทั้งขายส่งและขายปลีกมีการแข่งขันกันมากขึ้น