Showing posts with label ประชานิยม. Show all posts
Showing posts with label ประชานิยม. Show all posts

น้ำมันดิบ WTI จะต่ำลงขนาดไหน ก็ไม่ได้เกี่ยวกับ ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยเรา

หากท่านดูข่าว ไม่ว่าจะเห็นราคาน้ำมันดิบ WTI ที่กี่เหรียญ อันนี้น่าจะตกใจกันมากในเมื่อคืนที่ผ่านมาเพราะราคาน้ำมันดิบของ WTI แทบจะแจกฟรี แต่เหตุผลหลักคือถังน้ำมันดิบของ WTI ใน Texas เป็นเรื่องของสัญญา futures เดือนพฤษภาคมที่จะหมดอายุลง ผู้ที่ถือสัญญาอยู่จะต้องส่งมอบน้ำมันที่สหรัฐอเมริกา แต่เนื่องจากสถานที่จัดเก็บเต็มในประเทศ จึงต้องขายสัญญาออกไป แม้ต้องขายติดลบก็ตาม



🛢🛢 เหตุการณ์นี้ยังไม่กระทบกับราคาน้ำมันส่งมอบในส่วนอื่นของโลก (เช่น Brent Dubai) เนื่องจาก storage ที่อื่นยังไม่เต็ม และ WTI มีข้อจำกัดในการส่งออก ทำให้ WTI ไม่สะท้อนราคาน้ำมันตลาดโลก

คราวนี้มาดูประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไทยเราบ้าง

🛢🛢 ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ไม่ว่าจะลงไปเท่าไหร่ ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันในประเทศเราเลย หรือแม้แต่กระทั่งเกี่ยวข้องกับผลประกอบการของบริษัทน้ำมันในบ้านเราเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจหรือคิดว่าตลาดน้ำมันในบ้านเราจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะบ้านเราใช้ราคาอ้างอิงน้ำมันสำเร็จรูป ณ ตลาดสิงคโปร์ (มีอธิบายในด้านล่าง) เป็นหลัก ซึ่งตลาดนี้สะท้อนความต้องการในภูมิภาค

ในขณะที่ตลาดส่งมอบน้ำมันทั่วโลกอื่นๆ ที่ผ่านมา Dubai ปรับลดลงเล็กน้อยเท่านั้นไม่ถึง 1 เหรียญต่อบาร์เรล

⛽⛽ สำหรับผู้ใช้น้ำมันเติมรถกันนั้น ไม่ต้องดีใจว่าจะได้เข้าไปเติมน้ำมันแบบราคาลดลงแบบเยอะแยะขนาดนั้น เพราะกว่าน้ำมันดิบจะมาเป็นน้ำมันรถยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนแถมยังมีนโยบายของภาครัฐ อย่างภาษี กับ กองทุนต่างๆ บวกเข้าไปอีก

อันนี้เคยนำเสนอไปแล้วลองอ่านที่เพจอื่นนำเสนอดูบ้าง เรื่องทำไมต้องอ้างอิงน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ และ ราคาที่ตลาดนี้เหมาะสมหรือไม่ ที่มา Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP https://bit.ly/3anaPUT



ที่มาภาพ http://energythaiinfo.blogspot.com/2012/08/blog-post.html

สาเหตุหลักคือ ตลาดซื้อขายกลางในสิงคโปร์ เป็นจุดที่เรือน้ำมันจากทุกประเทศในภูมิภาคในเอเชียวิ่งเข้ามาบรรจบกันเพื่อทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายน้ำมันในแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบหรือน้ำมันสำเร็จรูปอย่างเบนซินและดีเซล หากใครมีน้ำมันเกินก็นำมาขายได้ที่สิงคโปร์นี้ ใครขาดน้ำมันอะไรก็มารับซื้อจากตลาดสิงคโปร์นี้ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นตลาดราคากลางของเอเชียที่มีความน่าเชื่อถือสูงเพราะมีผู้เล่นจากทั่วทุกมุมของเอเชียนำของเข้ามาซื้อขายกันตลอดเวลา

ถ้าเราจะไม่ทำการกลั่นน้ำมันดิบกันในประเทศเอง - หากเราสมมุติว่าเราไม่มีโรงกลั่น และต้องนำเข้าน้ำมันเบนซินและดีเซลจากต่างชาติมาเติมใส่ปั๊มในประเทศเราให้ได้ใช้กัน ตลาดสิงค์โปร์ก็คือต้นทุนราคาที่เราต้องนำเข้ามาอยู่ดีและนั้นก็จะเป็นต้นทุนของปั๊มเรา ทำให้ราคาก็จะไม่ต่างอะไรมากกับราคาที่โรงกลั่นเราขายอยู่ดี จริงๆแล้วราคาของโรงกลั่นเรายังถูกกว่าด้วยซ้ำเพราะการนำเข้าน้ำมันดิบนั้นถูกกว่าน้ำมันสำเร็จรูปหลายเท่า เพราะสามารถขนถ่ายได้ในปริมาณมากและไม่ต้องไปเสียค่าจ้างจากการกลั่นให้ประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นราคาขายในประเทศที่อิงกับตลาดสิงค์โปร์นี้จึงเป็นราคากลางที่เหมาะสม

สิงคโปร์ก็เป็นเมืองท่าประตูทางผ่านจากจะวันออกกลางสู่เอเชียที่เป็นหลักที่สุด จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญนี้ ทำให้เขาสามารถตั้งตัวขึ้นมาเป็นจุดซื้อขายน้ำมันหลักๆได้ - เพราะอย่างที่เรียนว่าไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทย แต่หลายๆประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ไม่สามารถผลิตน้ำมันดิบได้เองนั้นก็กำลังต่างก็ต้องพึ่งพาน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง และทุกๆเส้นทางของแต่ละประเทศนั้นต้องมีสิงคโปร์อยู่ระหว่างกลาง

ราคา ณ ตลาดสิงคโปร์ ไม่ได้กำหนดโดยรัฐบาลสิงคโปร์ แต่กำหนดโดย ทาง Platts นั้นจึงต้องหาวิธีใหม่ที่จะทำอย่างไรให้ผู้ซื้อผู้ขายทั้งหมดในเอเชียมากำหนดราคาซื้อขายรายวันกันได้โดยให้มีสภาพคล่องสูงที่สุด โดย Platts ใช้วิธีการว่าหากใครก็ตามที่ต้องการเข้ามา เสนอซื้อ (Bid) หรือ เสนอขาย (Offer) ในช่วง Singapore Window นั้น จะต้องรับส่งมอบน้ำมันตามเกรดนั้นจริงๆตามที่ Platts กำหนด จะไม่มีใครสามารถเข้ามาซื้อขายราคาต่างๆเพียงเล่นๆได้ ต้องประสงค์ที่จะรับน้ำมันไปในระดับราคานั้นจริงๆ การทำแบบนี้นั้นทำให้ยากที่ราคาจะโดนปั่นได้ เพราะบริษัทน้ำมันต่างๆ ที่เข้ามาร่วมซื้อขายนั้นต้องพร้อมที่จะรับน้ำมันไปในราคาที่เสนอจริงๆ

ที่มา น้ำมันดิบ WTI จะต่ำลงขนาดไหน ก็ไม่ได้เกี่ยวกับ ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยเรา

เห็นแล้วอึ้ง ราคาน้ำมันไทย อยู่ตรงไหนของโลก

ถ้ากดดูภาพแล้วจะเห็นได้ว่าน้ำมันของไทยเรา ไม่ได้แพงสุดในโลก อยู่ในระดับกลางของทั้งโลกด้วย


ซึ่งน้ำมันเป็นสินค้า Commodity หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ไม่เกี่ยวกับเรื่องค่าครองชีพ เพราะมีมาตรฐานในตัวสินค้าเหมือนกันทั้งโลก เฉกเช่นเดียวกับทอง

ที่มาราคา https://www.globalpetrolprices.com/gasoline_prices/

เห็นแล้วอึ้ง NOC บรรษัทพลังงานแห่งชาติที่ NGO ต้องการ ทุจริตกระจุยกระจาย


เราคงได้เห็นเห็นวาทกรรมความต้องการ NOC หรือ บรรษัทพลังงานแห่งชาติ ที่รัฐถือหุ้น 100% ตามที่พวก NGO ได้มีการโหมประโคมข่าว ว่าดี โปร่งใส ไม่มีการโกง ไม่มีการทุจริต ออกมาเดินขบวนเรียกร้องกันมาแล้วใน 1-2 ปี ที่ผ่านมา

แต่หากเราหาข่าวหรือติดตามข่าว จะทราบได้ว่า NOC ที่รัฐถือหุ้น 100% นั้น เสี่ยงต่อการทุจริตมาก ดังตัวอย่างที่ปรากฎเมื่อปี 2560

ที่มา https://www.thairath.co.th/content/1085259

ศาลลงดาบสั่งประหารบอสใหญ่ 'ปิโตรเวียดนาม'-คุกเศรษฐีเบอร์ 1 ตลอดชีวิต

นายเหวียน ซวนเซิน ประธานรัฐวิสาหกิจน้ำมันและก๊าซแห่งชาติ ปิโตรเวียดนาม ถูกศาลในกรุงฮานอยตัดสินลงโทษประหารชีวิต เมื่อ 29 ก.ย. ในข้อหา ใช้อำนาจในทางมิชอบ ยักยอกทรัพย์ และบริหารด้านเศรษฐกิจผิดพลาด

ขณะที่นายฮา วัน ทั้ม มหาเศรษฐีที่เคยติดอันดับรวยที่สุดในประเทศ ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาเดียวกัน หลังร่วมกันฉ้อโกงเงินกู้ยืมที่ผิดกฎหมายหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงนายแบงก์และนักธุรกิจอีก 51 ราย ตามนโยบายต่อต้านคอร์รัปชัน.

หรือแม้กระทั่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

ที่มา https://news1live.com/detail.aspx?NewsID=9610000006835


เวียดนามสั่งคุกตลอดชีวิตอดีตผู้บริหารกิจการรัฐฐานฉ้อโกง-ละเมิดกฎระเบียบ

รอยเตอร์ - ศาลเวียดนามพิพากษาตัดสินจำคุกตลอดชีวิตอดีตเจ้าหน้าที่บริษัทปิโตรเวียดนาม กิจการด้านน้ำมันและก๊าซของประเทศ ขณะที่อดีตเจ้าหน้าที่อีกรายหนึ่งต้องโทษจำคุก 13 ปี จากการฉ้อโกงและละเมิดกฎระเบียบรัฐท่ามกลางการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวาง ตามที่สื่อของทางการเวียดนามรายงาน

นายจิง ซวน แท็ง อดีตประธานบริษัทปิโตรเวียดนามคอนสตรัคชั่น ที่ทางการเยอรมนีกล่าวว่าถูกลักพาตัวไปจากสวนสาธารณะในกรุงเบอร์ลิน ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตจากการฉ้อโกงและละเมิดกฎระเบียบรัฐ ขณะที่นายดีง ลา ทัง อดีตเจ้าหน้าที่โปลิตบูโรและนักการเมืองที่อาวุโสที่สุดของประเทศที่ถูกพิจารณาคดีในรอบหลายสิบปี ศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 13 ปี จากการละเมิดกฎระเบียบรัฐ ตามการรายงานของสื่อเวียดนาม       

คำตัดสินของทั้งคู่เป็นบทสรุปของการพิจารณาคดีผู้ต้องหา 22 คน โดยทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบริษัทปิโตรเวียดนาม และคาดว่าจะมีการพิจารณาคดีอีกมากในปีนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามที่รัฐบาลระบุว่ามุ่งเป้าไปที่การฉ้อโกงและการบริหารจัดการผิดพลาด
       
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์ระบุว่าการปราบปรามที่เกิดขึ้นมีแรงจูงใจทางการเมืองและมุ่งเป้าไปที่บุคคลใกล้ชิดของอดีตนายกรัฐมนตรีเหวียน เติ๋น ยวุ๋ง
       
ทางการเวียดนามมุ่งให้ความสำคัญส่วนใหญ่ไปที่ภาคธนาคารและพลังงาน แต่การปราบปรามได้แพร่กระจายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และสำนักงานพรรคคอมมิวนิสต์ประจำจังหวัด
       
บริษัทปิโตรเวียดนามมีทั้งหน่วยงานตรง บริษัทย่อย และบริษัทในเครืออยู่หลายสิบบริษัท ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์มาจากกิจการต่างๆ ของบริษัท ตั้งแต่ธนาคารไปจนบริษัทก่อสร้าง และโรงไฟฟ้าไปจนถึงโรงงานทอผ้า
       
นายจิง ซวน แท็ง และนายดีง ลา ทัง ต่างกล่าวขออภัยต่อพรรคคอมมิวนิสต์ในถ้อยแถลงสุดท้ายที่ศาลกรุงฮานอยเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยสื่อต่างชาติไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีดังกล่าว

เห็นสองข่าวนี้แล้ว ไทยเรายังจะเชื่อและทำตาม NGO เพื่อตั้ง NOC หรือ บรรษัทพลังงานแห่งชาติ ขึ้นมาเพื่อทุจริต และ ซ้ำซ้อน หน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่ในปัจจุบันอีกหรือ?

รู้แล้วอึ้ง.. คะแนนการจัดอันดับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่กลุ่มทวงพลังงานชอบอ้างถึง

เวลาคนที่มีความรู้ด้านพลังงานเลือกประเทศที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการกำกับดูแลการบริหารจัดการปิโตรเลียม เขาจะเลือกประเทศเช่น Norway ที่กระทรวงพลังงาน นำโดย พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน และคณะ พร้อมสื่อมวลชน ได้เดินทางไปยังประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ เพื่อศึกษาต้นแบบการพัฒนาพลังงานชุมชน แหล่งสำรวจก๊าซธรรมชาติ และแผนการบริหารจัดการด้านพลังงาน เมื่อวันที่ 16-21 พ.ค.ที่ผ่านมา



แต่เวลาให้คนไม่มีความรู้ด้านพลังงานเลือก เขาจะเลือกประเทศที่ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี เช่นเวเนหรือแม้กระทั่งมาเลเซีย

เชื่อคนผิด เสียใจจนตายครับ


http://resourcegovernanceindex.org/country-profiles
http://in.mobile.reuters.com/article/idINL8N1JP3V1
https://resourcegovernance.org


สถาบันกำกับดูแลการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ได้จัดทำ ranking ของการกำกับดูแลการบริหารจัดการปิโตรเลียมของแปดสิบกว่าประเทศที่ปิโตรเลียมเป็นรายได้สำคัญของประเทศ

เขามี kpi สำคัญๆหลายตัวเพื่อประเมินผล

นอร์เวย์ได้ที่หนึ่งเพราะบริหารจัดการได้ดีสุด



แต่ที่อยากเอ่ยถึงคือมาเลเซียเพราะอยากให้สมาชิก สนช. ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมาเลเซียเสียที

มาเลเซียได้อันดับที่ 27 เพราะความไม่โปร่งใสในระบบ PSC และการกระจายรายได้จากปิโตรเลียมที่ควรทำได้ดีกว่าที่เป็นอยู่อีกเยอะ

ช่วยกรุณาอ่านตามลินค์ที่แปะไว้นะครับและเลิกฟังเลิกเชื่อคนที่ไม่มีความรู้ด้านพลังงานเสียทีเถิด การปฏิรูปพลังงานไทยจะได้เดินต่อในทางที่ถูกที่ควรครับ

http://resourcegovernanceindex.org/country-profiles/MYS/oil-gas

หายนะของเวเนฯจากการทวงคืนพลังงาน

หายนะของVenezuela.......(9 กรกฎาคม 2559)
มันเริ่มมาจาก....."ทวงคืนพลังงาน"นี่แหละครับ




จากประเทศที่มีปริมาณน้ำมันดิบสำรองที่พิสูจน์แล้ว(Proven Reserve)มากที่สุดในโลก โดยมีถึง 297,740 ล้านบาร์เรล (ซาอุเป็นอันดับสอง มี 268,350 ล้าน) ซึ่งถ้าคิดตามกำลังผลิตปัจจุบัน(วันละ 2.2 ล้านบาร์เรล) เท่ากับว่ามีProven Reserve ใช้ได้ไปถึง 330 ปีเลยทีเดียว (นี่ขนาดยังไม่นับpossible & probable reserveอีกนะครับ) ...ถามว่าเค้าจะเก็บเอาไว้ให้ลูกหลานโดยไม่ยอมเชื่อตามคนอื่น ว่าโลกจะเลิกใช้น้ำมันเป็นแหล่งพลังงานหลักภายในไม่กี่สิบปีนี้ยังงั้นหรือ ...เปล่าหรอกครับ ที่เค้าไม่ผลิตมากๆก็เพราะไม่มีศักยภาพ ไม่มีเทคโนโลยี่ ไม่มีการลงทุน และไม่มีประสิทธิภาพ(ทำให้ต้นทุนจะแซงราคาน้ำมันอยู่แล้ว)

...รับรองว่าในร้อยปีข้างหน้าลูกหลานต้องมาก่นด่าว่า"มึงเก็บไอ้โคลนเหลวๆไร้ค่าพวกนี้ไว้ให้กูทำไม"
ย้อนหลังไปเมื่อเพียงแค่ไม่กี่สิบปีก่อน ...เมื่อนำ้มันกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดแซงถ่านหิน เวเนซูเอล่าได้เป็นตัวตั้งตัวตีร่วมกับอีกสี่ประเทศอาหรับจัดตั้งOPECขึ้นมาในปี 1960 และร่วมมือสร้างOil Embargo ทำให้เกิดวิกฤติราคานำ้มัน(Oil Shocks)ขึ้นสองช่วง(1973-74 และ1979-80) ราคานำ้มันตลาดโลกขึ้นจาก $3/bbl เป็นเกือบ $40/bbl ปั่นป่วนไปทั่วโลก แต่ประเทศผู้ผลิตนำ้มันส่งออกกลายเป็นประเทศร่ำรวยกันเป็นแถว

สำหรับเวเนซูเอล่า ...ในช่วงต้นทศวรรษ 1970s เคยผลิตปิโตรเลียมได้ถึงวันละ 3.8 ล้านบาร์เรลเท่าๆกับซาอุดิอาราเบีย และจากการที่ราคานำ้มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้รายได้ประชาชาติต่อคนเพิ่มพรวดเกือบห้าเท่าตัวจาก $920 ในปี1970 มาเป็น $4,375 ในปี1980 กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และร่ำรวยที่สุดในอเมริกาใต้เลยทีเดียว (ปี1980 ไทยมี GDP $682/คน บราซิลมี $1,923)

พอร่ำรวยก็เริ่มเหิมเกริม เกิดกระบวนการ"ทวงคืนพลังงาน" โดยในปี1976 ประธานาธิบดี Carlos Andre Perez ก็ได้จัดตั้ง "บรรษัทพลังงานแห่งชาติเวเนซูเอลา" Petróleos de Venezuela, S.A. (PDVSA) ขึ้นแล้วเริ่มยึดคืนกิจการน้ำมันจากทุนพลังงาน โดยเฉพาะจากต่างชาติ ให้รัฐเข้าเป็นเจ้าของและก็เป็นผู้บริหารเองทั้งหมด ซึ่งในระยะแรกๆก็ยังใช้ระบบและผู้บริหารชาวเวเนฯที่เดิมเคยทำงานให้กับบริษัทน้ำมันข้ามชาติทั้งหลายบริหารต่อไป ทำให้ประสิทธิภาพต่างๆ ก็ยังพอไปได้ดีอยู่

แต่พอนานๆเข้าก็เหมือน"รัฐวิสาหกิจ"ทั้งหลายในแทบทุกแห่ง ที่ประสิทธิภาพไม่ใช่เป้าหมายสำคัญ มีการเพิ่มคนที่เป็นพรรคพวกเข้าไปเยอะแยะ(มีข่าวว่ายุคชาเวซมีการเอาพวกNGOsเข้าไปทำงานในPDVSAเพื่อกินเงินเดือนเยอะเลย) การลงทุนมีน้อยและไม่ได้ผล ต้นทุนการผลิตเลยสูงขึ้นๆ ในขณะที่ผลผลิตลดลง ...มีรายงานการศึกษาว่าจากเดิมช่วง1976-1992 PDVSAเคยมีต้นทุนแค่ 21% นำเงินส่งรัฐสูงถึง79%ของรายได้ แต่พอมาช่วง1993-2000 ต้นทุนกลับพุ่งสูงถึง64% เหลือเงินให้รัฐแค่36% ทั้งๆที่ราคานำมันเฉลี่ยสูงขึ้นตั้งเยอะ ...นี่แหละครับ"บรรษัทพลังงานแห่งชาติ"PDVSAที่เคยเป็นต้นแบบของนักทวงคืนชาวไทย

พอนักสังคมนิยมเต็มตัว Hugo Chavez ขึ้นเป็นประธานาธิบดีในช่วง 1999-2013 เวเนซูเอล่าก็กลายเป็นสังคมนิยมเต็มตัวตามแบบอย่างลูกพี่ใหญ่ ฟิเดล คาสโตรแห่งคิวบา รัฐยึดกิจการอื่นๆมาทำเองมากมาย และใช้รายได้จากนำ้มันทำโครงการประชานิยมต่างๆ รวมทั้งอุดหนุนราคาน้ำมันให้ประชาชนใช้ลิตรละไม่ถึง 5 บาท จนชาเวซได้รับความนิยมสูงสุดได้รับเลือกตั้งใหม่ด้วยคะแนนร่วม60% อีกสามครั้ง จนตายคาตำแหน่งด้วยวัยเพียง58ปี

ในช่วง2002 พนักงานPDVSAที่ทนการแทรกแซงไม่ไหว ประท้วงหยุดงานร่วมสองเดือน แต่ในที่สุดรัฐบาลก็ชนะ และChavez ก็เลยไล่พนักงานออก 19,000คน แล้วแทนที่โดยพวกสมุนที่จงรักภักดีที่มีNGOsปนอยู่ไม่น้อย และนั่นก็เลยทำให้ประสิทธิภาพยิ่งเสื่อมลงๆ

มาถึงวันนี้ จากการที่บริหารอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ขาดเทคโนโลยี่ ไม่มีการลงทุนที่เหมาะสม การผลิตน้ำมันที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญที่สุดของประเทศตกตำ่ลงมากและต้นทุนสูงมาก เวเนซูเอล่าผลิตนำ้มันได้เพียงวันละ2.2ล้านบาร์เรล(จากแผนที่เคยประกาศว่าจะผลิต 5 ล้าน/วัน) ทั้งๆที่มีปริมาณสำรองล้นเหลือ และเคยผลิตได้ถึง 3.5 ล้านต่อวันเมื่อ1970 (ซาอุที่เคยผลิตเท่ากันเมื่อสี่สิบปีก่อน วันนี้ผลิตวันละ 10.0ล้าน ...นี่แบบยั้งๆเกรงใจตลาดแล้วนะครับ)

สำหรับเศรษฐกิจทั้งระบบยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกอย่างหยุดชะงัก เงินสำรองต่างประเทศเกลี้ยงคลัง ไม่สามารถจ่ายค่าสินค้านำเข้า ค่าเงินลดฮวบฮาบ จากที่เคยเป็นแค่ 6.3VEF ต่อ1USD เมื่อ5ปีก่อน ตอนนี้ซื้อขายกันในตลาดมืดถึง1,000VEFต่อ1USD เงินเฟ้อปีละหลายร้อยเปอร์เซนต์ เศรษฐกิจติดลบไปร่วม10%ในสองปี ...ที่แย่กว่าก็คือ สินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งยารักษาโรค ขาดแคลนสุดๆ ประชาชนต้องอดอยากลำบากแสนสาหัส เกิดจลาจลแย่งอาหารกันไปทั่ว

นี่แหละครับ เริ่มต้นจาก. ...ทวงคืนพลังงาน ...บรรษัทพลังงานแห่งชาติ. ...เอาคนไม่เป็นมาบริหาร 

...สังคมนิยม. ...ประชานิยม สุดท้ายมันก็พัง กลายเป็น"ประเทศที่ล้มเหลว" Failed Nation สมบูรณ์แบบ
แต่คงไม่เป็นไรกระมังครับ ถ้าเค้าเรียกร้องทวงคืนพลังงาน ตั้ง"บรรษัทพลังงานแห่งชาติ"สำเร็จ ในระยะสั้นคงยังไม่มีปัญหา อย่างน้อยเค้าก็ต้องพยายามลดราคานำ้มันเอาใจกองเชียร์ ทำให้เราได้ใช้ของถูกไปด้วย อย่างเวเนซูเอล่า กว่าจะพังพาบก็ยื้อไปได้ตั้งสี่สิบปี(แต่อย่าลืมว่าเค้ามีสำรองสามร้อยปี ของเรามีแค่เจ็ดปีนาครับ) ถ้าไทยยื้อได้สี่สิบปี ตอนนั้นผมก็อายุร้อยสอง คงไม่เดือดร้อนมากถ้าจะต้องอดตายหรือขาดยารักษาในตอนนั้น ก็ขอให้ลูกหลานโชคดีก็แล้วกันนะครับ



ที่มา Banyong Pongpanich หายนะของเวเนฯจากการทวงคืนพลังงาน