Showing posts with label พรบ.ปิโตรเลียม. Show all posts
Showing posts with label พรบ.ปิโตรเลียม. Show all posts

วิเคราะห์มั่วๆ 5ปี เนื้อหามั่วๆ ก็ได้แบบมั่วๆ เรื่องพลังงาน

เห็นมีคนแชร์มาจากทาง LINE เต็มไปหมด โดยเนื้อหาคร่าวๆ โทษนั่น โทษนี่ โดยไม่มองบริบท เรื่องพลังงาน หรือ เนื้อหาสาระว่าแท้จริงเป็นอย่างไร ก็คงต้องเอามาแก้กันไปว่ามั่วขนาดไหน ขอตัดตอนมาในส่วนเรื่องพลังงานเท่านั้น

 จากดร.อาทิตย์. อุไรรัตน์

ฟังแล้วอย่าเชื่อร้อยเปอร์เซนต์ เอาไปช่วยกันคิด วิจารณ์ วิจัยวิเคราะห์ เจาะลึก ให้ความจริงประจักษ์
เมื่อประจักษ์แล้ว. อย่าเมินเฉย. ชวยกันแก้วิบัติของชาตื

" 5 ปีแห่งความทุกข์ระทมของประชาชน
5 ปีแห่งความหายนะของชาติบ้านเมือง



บอกได้คำเดียวว่า หนักกว่านักการเมืองอาชีพ ชาตินี้คงจะหาผู้นำที่สร้างความบรรลัยให้ชาติบ้านเมืองมากเท่าลุงคนนี้ไม่มีอีกแล้ว โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัว/นายทุน น่าเกลียดจริงๆ

"มาลองอ่านกันว่า การตั้งคำถามมีคำตอบคำตอบที่ตอบวนกันมา 5ปี" 

> เดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหินสกปรกหลายจังหวัดเอื้อประโยชน์นายทุนเหมืองถ่านหิน ทั้งที่ทั่วโลกทยอยยกเลิก เพราะมันสกปรกมีมลพิษอันตราย

คนที่โพสต์คงไม่ทราบว่า ทั่วทั้งโลกปิดบางส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินหมดอายุ และ มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วยซ้ำ คนโพสต์ทราบหรือไม่

> ยัดเยียดการขุดเจาะปิโตรเลียมที่บ้านนามูล ดูนสาด จ.ขอนแก่น เอื้อนายทุนบริษัทน้ำมัน มีชาวบ้านคัดค้าน ก็ส่งฝ่ายปกครองไปข่มขู่ให้ยินยอม

การขุดเจาะปิโตรเลียมที่บ้านนามูล ดูนสาด  ผู้รับสัมปทานจะต้องปฏิบัติงานภายใต้กฎหมายปิโตรเลียมทุกขั้นตอน มีการรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งได้รับการอนุมัติ EIA  โดยช่วงก่อนการขุดเจาะ บริษัทได้มีการขนย้ายอุปกรณ์เข้าพื้นที่ ซึ่งได้รับความสะดวกจากฝ่ายปกครอง (กอ.รมน.) เข้าพื้นที่เพื่อดูแลอำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อย รวมถึงการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนและบริษัทผู้รับสัมปทานในการขนย้ายอุปกรณ์เครื่องจักร มิได้เป็นการข่มขู่ประชาชนในพื้นที่ และเอื้อบริษัทตามที่มีบุคคลภายนอกให้ข้อมูลเชิงลบและปลุกปั่นแต่อย่างใด 

> เชฟรอนโกงภาษี 3,000 ล้าน แทนที่จะไล่กลับอเมริกา กลับใจดีต่อสัมปทานให้แหล่งทานตะวันในอ่าวไทยของเชฟรอนไปอีก 10 ปี ที่สุดอุบาทว์คือ คิดค่าลงนามต่ออายุสัมปทานแค่ 15 ล้านบาท และส่วนแบ่งจากการขายเพียง 1% จากมูลค่าปิโตรเลียมของแหล่งนี้ 3-5 แสนล้านบาท(แหล่งนี้ขุดน้ำมันดิบมูลค่า 40 ล้านบาท/วัน ขุดวันเดียวก็ได้เงินมากกว่าที่จ่ายค่าลงนามต่อสัญญากับรัฐกว่าเท่าตัวแล้ว และแหล่งนี้ยังมีก๊าซธรรมชาติอีกมาก)

- กรณีภาษีเชฟรอน เกิดจากปัญหาการตีความข้อกฎหมายกรณีการคืนภาษีภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ของบริษัทเชฟรอน  ซึ่งบริษัทฯ ได้ทำการจ่ายภาษีจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อใช้บริเวณอ่าวไทยในระหว่างปี พ.ศ. 2555-2559 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยช่วงที่ผ่านมาภายหลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ทางบริษัทฯ ได้ให้ความร่วมมือและทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการตรวจสอบยอดภาษีที่ต้องชำระให้ถูกต้องแล้ว
- กรณีการต่ออายุสัมปทานแหล่งทานตะวันและแหล่งใกล้เคียงในแปลงสำรวจหมายเลข B8/32 ซึ่งเป็นแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทย เป็นการต่อระยะเวลาตามกฎหมายปิโตรเลียม 
- ส่วนโบนัสลงนามและโบนัสการผลิต เป็นเพียงส่วนเพิ่มเติมที่รัฐจะได้นอกเหนือไปจากรายได้ที่รัฐจะได้รับต่อไปอีก     10ปี นอกจากการจัดเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียม ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ(หากมีกำไรเกินปกติ) และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ซึ่งจากการวิเคราห์ทางเศรษฐศาสตร์ พบว่า จะมีสัดส่วนรายได้รัฐต่อรายได้สุทธิของผู้รับสัมปทานเป็นอัตราส่วนร้อยละ 71:29
-  การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นการลงทุนที่สูงและมีความเสี่ยงสูง ผู้รับสัมปทานยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการลงทุน และจ่ายค่าภาคหลวง   ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ(ถ้ามีกำไรเกิน) และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม อีกด้วย



> เชฟรอนเจตนาสำแดงใบขนน้ำมันปลอดภาษีเท็จซ้ำซาก ผิดกฏหมายอาญาแผ่นดิน ก็อุ้ม ไม่เอาผิด และยังให้ร่วมประมูลสัมปทาน

- การเข้าร่วมประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ และบงกช เปิดรับผู้ที่เข้าร่วมประมูลเป็นการทั่วไปอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกประเทศ   มิได้จำกัดบริษัทรายใดรายหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามในขั้นแรก กระทรวงพลังงาน ได้มีการกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้เข้าร่วมประมูลไว้แล้ว ทั้งคุณสมบัติด้านการเงินและการเป็นผู้ดำเนินงานการผลิตปิโตรเลียมในทะเล  จากการพิจารณาและตรวจสอบข้อมูล บริษัทเชฟรอน มีคุณสมบัติตามที่กระทรวงพลังงานกำหนดในเอกสารการยื่นขอ  
- ในส่วนการขนน้ำมันปลอดภาษี  เป็นน้ำมันที่กลั่นแล้วมิได้เกี่ยวข้องกับกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งภายหลังเชฟรอนได้จ่ายภาษีที่เกิดจากการตีความกฎหมายตามที่กฤษฎีกาได้ตีความเอาไว้เรียบร้อยแล้ว 


> ส่วนกรณีนี้ยิ่งหนัก 7 บริษัทน้ำมันทำผิดกฏหมาย ลักลอบขุดน้ำมันในที่ส.ป.ก. ศาลปกครองจึงมีคำสั่งให้เลิกขุด แต่นอกจากคสช.จะไม่เอาผิดแล้ว ยังใช้ ม.44 ล้างผิดให้ และแก้กฏหมายส.ป.ก.อนุญาตให้เอกชนขุดน้ำมันในที่ส.ป.ก.ต่อไปได้ ขนาดคำสั่งศาลยังไร้ความหมาย แล้วบ้านนี้เมืองนี้จะอยู่กันอย่างไร

-  กรณีศาลปกครองสูงสุดมีการตัดสินว่าบริษัทผู้รับสัมปทานมีความผิดฐานดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ ส.ป.ก.  ที่ได้รับการอนุมัติแล้วนั้น (ส.ป.ก. ไม่มีอำนาจในการอนุญาตให้ทำกิจกรรมอื่นนอกจากการเกษตร)  จึง เป็นการดำเนินงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  
- ที่ผ่านมาบริษัทผู้ได้รับสัมปทานได้ดำเนินการยื่นขอและดำเนินการตามแนวทางของข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งกรณีดังกล่าวภาครัฐ โดยกระทรวงพลังงานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้หารือร่วมกันเพื่อหาทางออกในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ใต้ผืนดินของประเทศ และการใช้ที่ ส.ป.ก.  เพื่อประโยชน์จากกิจกรรมอย่างอื่น   จึงมีความเห็นร่วมกันว่าควรนำเสนอ คสช. เพื่อพิจารณาใช้ ม. 44 เพื่อหาทางออกของปัญหาดังกล่าว โดยกระทบต่อการใช้พื้นที่ทางการเกษตรของเกษตรกรให้น้อยที่สุดโดยมีค่าทดแทนให้เกษตรกรและ ส.ป.ก. ที่เหมาะสมและคืนพื้นที่เมื่อดำเนินกิจกรรมแล้วเสร็จ นอกจากนั้นยังเพิ่มแนวทางการให้  ส.ป.ก. ในการพิจารณาแก้ข้อกฎหมายเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่ เพื่อทำกิจกรรมอื่นได้นอกจากเกษตรกรรมในอนาคตซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์ทรัพยากรของประเทศในลักษณะบูรณาการก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด


> มีก๊าซ มีน้ำมันเต็มแผ่นดิน แทนที่จะขุดเอง เพื่อให้รายได้เข้ารัฐเต็มๆ ไม่ต้องไปแบ่งให้ใคร ก็ไปแจกสัมปทานให้ต่างชาติรวย

- จากข้อมูลสถิติ การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2514 ภายใต้ระบบสัมปทาน พบน้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ ภายในแอ่งตะกอนที่กระจายตัวอยู่ในแต่ละภูมิภาค โดย จะพบน้ำมันดิบในบริเวณภาคเหนือ (แหล่งฝาง)  ภาคกลางและอ่าวไทย พบก๊าซธรรมชาติ บริเวณภาคอีสานและอ่าวไทย (ตามภาพ) มิได้มีก๊าซ มีน้ำมันเต็มแผ่นดิน 
- ระบบสัมปทาน เป็นการให้สิทธิผู้รับสัมปทานไปสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รัฐมีการออกแบบการจัดเก็บรายได้จากการผลิตปิโตรเลียม ซึ่งระบบสัมปทานถูกออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพแหล่งปิโตรเลียมของประเทศไทย  เพื่อให้เกิดการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในประเทศ และจูงใจให้บริษัทมาเสี่ยงลงทุนเพราะการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นการลงทุนที่สูงและมีความเสี่ยงสูง 
- หากภาครัฐขุดเองต้องมีเงินมากพอที่จะรับความเสี่ยงในการสูญเสียเงินของประเทศ  หากขุดเจาะไม่พบปิโตรเลียม 


> แจกสัมปทานปิโตรเลียมโดยเลือกระบบที่รัฐเสียประโยชน์ ระบบจ้างผลิตที่รัฐได้ประโยชน์ 80-90% ไม่เอา แต่เลือกระบบ PSC(จำแลง) ที่ได้ส่วนแบ่งแค่ 30%

- ระบบสัมปทาน นับตั้งแต่มีการให้สัมปทานตั้งแต่ปี 2514 และมีการปรับปรุงกฎหมายปิโตรเลียม (แก้ไข พ.ศ. 2532) เพื่อให้รัฐได้รับรายได้มากขึ้นและให้ผู้รับสัมปทานสามารถพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมขนาดเล็กได้ รวมทั้ง ปรับปรุงให้รัฐมีทางเลือกในการบริหารจัดการระบบการจัดเก็บรายได้รัฐ (เพิ่มระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต และสัญญาจ้างบริการ แก้ไขปี พ.ศ. 2560) ในระบบสัมปทาน รัฐมีรายได้รวมมากกว่าผู้รับสัมปทาน ถึง ร้อยละ 60:40

> แก้ไขพรบ.ปิโตรเลียมให้ไทยตกเป็นทาสบริษัทน้ำมันต่างชาติหนักข้อขึ้นกว่าเดิม

คำว่าตกเป็นทาสบริษัทน้ำมันต่างชาตินี่คิดยังไงหรอครับ ทุกวันนี้คนไทยทำงานเยอะแยะ
- การแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เพื่อกําหนดให้การให้สิทธิสํารวจและผลิตปิโตรเลียมมีทางเลือกให้รัฐสามารถพิจารณานําระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตหรือระบบสัญญาจ้างบริการมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมนอกเหนือไปจากการพิจารณาให้สัมปทานปิโตรเลียมภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งแก้ไขบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับประโยชน์หรือสิทธิของผู้รับสัมปทานและบทบัญญัติเกี่ยวกับค่าภาคหลวงให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น มิได้เอื้อต่อบริษัทน้ำมันต่างชาติ
- การประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ และบงกช ที่ผ่านมา บริษัทคนไทย (บริษัท ปตท.สผ. เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย ได้เป็นผู้ชนะทั้งสองแหล่งต้องมีคนทำงานด้วย 80% ในปีแรก อย่างน้อย 90% ในอีกปีที่ 5 ด้วย

> แก้ไขพรบ.ปิโตรเลียม ลดการจัดเก็บภาษีรายได้จากบริษัทน้ำมันผู้สัมปทาน จากเดิมเก็บอยู่ 50% ก็ลดเหลือ 20%

- การแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ให้มีระบบการจัดเก็บรายได้เพิ่มเติม ให้มีระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต และสัญญาจ้างบริการ   ระบบกลไกการจัดเก็บจึงแตกต่างกันกับระบบสัมปทาน กล่าวคือ ในระบบสัมปทาน ผู้รับสัมปทานต้องจ่ายค่าภาคหลวงร้อยละ 5-15  ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ(ถ้ามีกำไรเกินควร ร้อยละ 0-75) และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมร้อยละ 50    ในส่วนของระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต ผู้รับสัญญาจะต้องจ่ายค่าภาคหลวง ร้อยละ 10 ปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรร้อยละ 50 และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมร้อยละ 20    ความแตกต่างของการจัดเก็บภาษี เกิดจากความแตกต่างของระบบการจัดเก็บรายได้ที่แตกต่างกัน  แต่ไม่ว่าจะจัดเก็บรายได้จากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในระบบใด รัฐจะได้มากกว่ารร้อยละ 50 ทั้งสองระบบ




> ก่อนคสช.เข้ามา เก็บภาษีรายได้จากผู้สัมปทานปิโตรเลียมได้ราว 1 แสนล้านบาท/ปี ปัจจุบันเก็บแค่ไม่ถึง 4 หมื่นล้านบาท/ปี

- แต่งตั้ง คสช. เมื่อ 22 พ.ค. 57
- ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เริ่มปรับตัวลดลง ประมาณเดือน ก.ค. 57 (2014) จาก 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จนถึงระดับต่ำสุดในเดือน ม.ค. 59 ประมาณ 26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  ดังนั้นรายได้ที่รัฐจะได้รับขึ้นอยู่กับการขึ้นลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับการแต่งตั้ง คสช.


อ้างอิงราคาน้ำมันดิบดูไบ ย้อนหลัง 5 ปี  (https://www.indexmundi.com/commodities/?commodity=crude-oil-dubai&months=60)

- การจัดเก็บภาษีปิโตรเลียมรายปีที่ลดลง นอกจากปัจจัยในราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงแล้ว การจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียมรายปี ส่วนมาจะจัดเก็บในเดือน พ.ค. ของปีถัดไป  ดังนั้น หากในปี 2559 ราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับต่ำ (ช่วง 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ) จะสามารถจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในปี 2560  ลดลงตามไปด้วย ดังกราฟด้านล่าง




> ขูดรีดภาษีน้ำมันปชช. อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตกว่าทุกรัฐบาล

-*- ก็ท่องไว้เอาไปพัฒนาประเทศ เอาไปเป็นงบของกระทรวงต่างๆ อย่างกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับงบมากสุด

> ก่อนคสช.เข้ามา เก็บภาษีน้ำมันปชช.อยู่ราว 6 หมื่นล้านบาท/ปี ปัจจุบันเก็บ 2.2 แสนล้านบาท/ปี

น้ำมันคนใช้เยอะก่อนรัฐบาล คสช แน่ เพราะราคาน้ำมันลดลง คนก็ใช้มากขึ้น

> ขึ้นราคาก๊าซ LPG อย่างบ้าคลั่ง ขึ้นมากที่สุดกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านๆมาชนิดทิ้งไม่เห็นฝุ่น

การขึ้นราคา LPG คือการปรับโครงสร้าง เปิดเสรีให้เอกชนรายอื่นเข้ามาดำเนินกิจการ และที่สำคัญ รัฐบาลอื่นๆ มีการอุดหนุนราคา

> ขึ้นลงราคาน้ำมันไม่เป็นธรรมกับปชช. ตลาดโลกขึ้น น้ำมันไทยรีบขึ้นราคาตาม ตลาดโลกลดลง น้ำมันไทยไม่ค่อยจะลงตาม และหลายครั้งขึ้นราคาสวนทางตลาดโลกแบบหน้าด้านๆ และตอนขึ้น 50 สตางค์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนตอนลง 20-40 สตางค์เป็นส่วนใหญ่ ขึ้นลงลักษณะนี้จนปชช.ด่าจนหมดคำด่าไปแล้ว

ราคาน้ำมันเราอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งบางครั้งขึ้นมากกว่าลงด้วยซ้ำ และอย่าลืมว่าตอนขึ้น มันขึ้นแบบเขยิบแบบอั้น สะสมแล้วขึ้นทีเดียวไม่ได้ขึ้นเลยทันที แต่ลง ลงทันที ดังนั้นเวลาขึ้นจึงมากกว่าลง แบบนี้น้ำนมดิบราคาลง ทำไมเราไม่ได้กินนมกล่องที่ราคาถูกลงหล่ะ หรือแม้แต่ข้าวกระเพราที่ราคาถูกลงด้วยเวลาวัตถุดิบราคาลง

> แยกธุรกิจค้าน้ำมันออกจากปตท.ไปยกให้นายทุน

แยกธุรกิจน้ำมันเพื่อความคล่องตัว เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ รัฐห้ามทำธุรกิจแข่งกับเอกชน และที่สำคัญ ปตท. หรือที่เป็นรัฐวิสาหกิจก็ยังถือหุ้นใหญ่สุด

> ขายหุ้นโรงกลั่นบางจากที่ปตท.ถือหุ้นอยู่ให้กลุ่มทุน
> ขายหุ้นโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม(SPRC)ที่ปตท.ถือหุ้นอยู่ให้นายทุน

ด่าเค้าผูกขาดไม่ได้ใช่หรอ ก็ขายหุ้นออกยังไงหล่ะ บางจากก็ขายให้กลุ่มทุนที่ว่าคือ กองทุนรวมวายุภักษ์ กับ สำนักงานประกันสังคม นะครับ นี่กลุ่มทุนหรอครับ ส่วน SRPC ก็ขายให้นักลงทุนรายย่อยทั่วไป

> ปตท.โกงท่อก๊าซ ก็ไม่ยอมทวงคืน

คืนไปเป็นชาติ ตามคำตัดสินของศาล แถมยังจำหน่ายคดีออกจากสารบบไปแล้ว

> แยกท่อก๊าซออกจากปตท.ไปให้นายทุน

ช้าก่อนนะโยม เค้าแยกท่อออกมา แล้วเอาไปเปิดเป็น TPA (Third Party Access) เปิดเสรีกว่าเดิมใครอยากใช้ก็มาขออนุญาตได้ แล้วสรุปตกลงอยากให้ ท่อก๊าซอยู่กับ ปตท อีกใช่หรือไม่

> อุ้มธุรกิจปิโตรเคมีของปตท. ด้วยการยกเลิกเก็บเงินภาคปิโตรเคมีเข้ากองทุนน้ำมัน ทั้งที่เดิมเขาก็จ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันน้อยกว่าประชาชนอยู่แล้ว ทำให้ทุกวันนี้ภาคปิโตรเคมีไม่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันสักบาท ทั้งที่ใช้ก๊าซ LPG มากกว่าใคร ใช้มากกว่าภาคครัวเรือนที่คนไทยใช้หุงต้มกันทั้งประเทศอีก

การจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันของภาคปิโตรเคมี ทุกภาคส่วนที่ต้องใช้ผลิตผลของก๊าซจากอ่าวไทยนั้น ไม่มีการจัดเก็บเพราะเนื่องจากไม่ได้ใช้เป็นเชื้อเพลิง และ ถ้าหากเก็บกองทุนฯ เพิ่มจะให้ต้นทุนแข่งขันกับปิโตรเคมีกับต่างประเทศไม่ได้และจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากปิโตรเคมีแพงขึ้นด้วย เช่น ยารักษาโรค เสื้อผ้าต่างๆ และจะบอกว่าการบริหารจัดการทรัพยากรที่สำคัญคือ การต่อยอดจากวัตถุดิบที่มีอยู่ทำอย่างให้เกิดประโยชน์มากสุดด้วย

รู้แล้วอึ้ง.. คะแนนการจัดอันดับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่กลุ่มทวงพลังงานชอบอ้างถึง

เวลาคนที่มีความรู้ด้านพลังงานเลือกประเทศที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการกำกับดูแลการบริหารจัดการปิโตรเลียม เขาจะเลือกประเทศเช่น Norway ที่กระทรวงพลังงาน นำโดย พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน และคณะ พร้อมสื่อมวลชน ได้เดินทางไปยังประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ เพื่อศึกษาต้นแบบการพัฒนาพลังงานชุมชน แหล่งสำรวจก๊าซธรรมชาติ และแผนการบริหารจัดการด้านพลังงาน เมื่อวันที่ 16-21 พ.ค.ที่ผ่านมา



แต่เวลาให้คนไม่มีความรู้ด้านพลังงานเลือก เขาจะเลือกประเทศที่ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี เช่นเวเนหรือแม้กระทั่งมาเลเซีย

เชื่อคนผิด เสียใจจนตายครับ


http://resourcegovernanceindex.org/country-profiles
http://in.mobile.reuters.com/article/idINL8N1JP3V1
https://resourcegovernance.org


สถาบันกำกับดูแลการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ได้จัดทำ ranking ของการกำกับดูแลการบริหารจัดการปิโตรเลียมของแปดสิบกว่าประเทศที่ปิโตรเลียมเป็นรายได้สำคัญของประเทศ

เขามี kpi สำคัญๆหลายตัวเพื่อประเมินผล

นอร์เวย์ได้ที่หนึ่งเพราะบริหารจัดการได้ดีสุด



แต่ที่อยากเอ่ยถึงคือมาเลเซียเพราะอยากให้สมาชิก สนช. ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมาเลเซียเสียที

มาเลเซียได้อันดับที่ 27 เพราะความไม่โปร่งใสในระบบ PSC และการกระจายรายได้จากปิโตรเลียมที่ควรทำได้ดีกว่าที่เป็นอยู่อีกเยอะ

ช่วยกรุณาอ่านตามลินค์ที่แปะไว้นะครับและเลิกฟังเลิกเชื่อคนที่ไม่มีความรู้ด้านพลังงานเสียทีเถิด การปฏิรูปพลังงานไทยจะได้เดินต่อในทางที่ถูกที่ควรครับ

http://resourcegovernanceindex.org/country-profiles/MYS/oil-gas

เลิกมโนว่าไม่มีมิเตอร์ดูการไหลของก๊าซจากหลุมปิโตรเลียมแบบรีลไทม์

เมื่อปิโตรเลียมได้รับการผลิตขึ้นมาจากหลุมนั้น ภาครัฐโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทราบในทุกๆหยด ทุกอณูที่ขึ้นมาว่าผลิตขึ้นมาเท่าไหร่ เอาไปผ่านกระบวนการจุดไหน อย่างไร เท่าไหร่บ้าง


ก๊าซธรรมชาติ คอนเดนเสท น้ำมันดิบที่ขึ้นมาจากหลุมมันไม่ได้ขึ้นมาแล้วใช้ได้ทั้งหมด มันมีสิ่งเจือปนที่ต้องเอาออก เพราะมันไม่สามารถซื้อขายได้ ดังนั้นปริมาณปิโตรเลียมที่ขึ้นมาจากหลุมทั้งหมด จะไม่ใช่ปริมาณปิโตรเบียมที่ขายทั้งหมด ทุกอย่างมีการแสดงผลและเก็บข้อมูลรายงานกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติตลอดเวลาและในเวลาเย็นของทุกๆ วันจะมีรายงานสรุปอีกทีหนึ่ง ซึ่งเป็นการ double check ในตัวอยู่แล้ว และยังมีข้าราชการกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติผู้รับผิดชอบอยู่หน้างานคอยตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับการรายงานมาที่กรมฯ แบบ Real time ขอย้ำว่า Real time อีกครั้งหนึ่ง

(ที่บอกว่าอยากได้ให้มีมิเตอร์แบบนี้กัน แต่หารู้ไม่ว่าเค้ามีมานานแล้ว)

ดังนั้นอย่างที่บอกนี่คือการ double double check กันทีเดียวเลย ที่บอกว่าเป็นการรายงานภายในของหน่วยงานทำงานอย่างเดียวอันนี้ไม่จริงโดยสิ้นเชิง

หรือแม้แต่การที่ลากเอาไปว่าเนื่องจากการผลิตก๊าซแต่ละแหล่งคนละสัญญานั้น การคำนวณปริมาณก๊าซของหน่วยงานรัฐจะเป็นข้อมูลหลังปัจจุบัน 1 วัน อันนี้จริงครับแต่จริงไม่หมด

การซื้อขายก๊าซธรรมชาตินั้นจะถูกกำหนดไว้ด้วย
- ปริมาณ
- คุณภาพ
- ค่าความร้อน
ปริมาณ หน่วยงานรัฐ ทราบปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ส่งขายเป็นแบบ real time สามารถทราบได้จากระบบมาตรวัดตลอดเวลาและจะมีการสรุปในทุกๆวัน

ส่วนคุณภาพนั้นคือปริมาณ Co2 ปริมาณน้ำในเนื้อก๊าซธรรมชาติที่มีการกำหนดค่าในสัญญาซื้อขาย อันนี้ต้องควบคุมไม่ให้เกินกว่าที่ตกลงกันไว้ โดยการวัดค่าน้ำและ co2 ผ่านอุปกรณ์ที่ถูกปรับเทียบและควบคุมโดยหน่วยงานรัฐ หรือก็คือ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

ส่วนสุดท้ายคือค่าความร้อน อันนี้คือการนำก๊าซธรรมชาติไปผ่านเครื่อง gas chromatography เพื่อหารายละเอียดองค์ประกอบของเนื้อก๊าซว่าประกอบไปด้วย carbon ใดๆเป็นองค์ประกอบบ้าง เพื่อคำนวณหาค่าความร้อนจากเนื้อแก๊สนั้น ซึ่งกระบวนการวัดปริมาณ คุณภาพ ค่าความร้อนนั้น ถูกกำหนดโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติโดยใช้มาตรฐาน AGA (American Gas Association) ล่าสุดในการกำหนดวิธีการ กระบวนการและอุปกรณ์ ผสานกับ พรบ. ปิโตรเลียมที่กำหนดกระบวนการต่างๆ ไว้เช่นกัน

โดยค่าของคุณภาพและค่าความร้อนจะถูกเก็บค่าและคำนวณตามหลักการที่กำหนดไว้ ซึ่งจะใ้ช้เวลาประมาณ 1 วันในการคำนวณ เพื่อนำมาคำนวณกับปริมาณก๊าซที่ส่งขายซึ่งทราบอยู่แล้วแบบ real time ได้ออกมาเป็นมูลค่าของก๊าซในการจัดเก็บค่าภาคหลวงต่อไป ซึ่งมีบางท่านบอกว่ากรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะทราบปริมาณก๊าซธรรมชาติช้าไป 1 วัน อันนี้ไม่จริงด้วยประการทั้งปวง







ที่มา เลิกมโนว่าไม่มีมิเตอร์ดูการไหลของก๊าซจากหลุมปิโตรเลียม เครดิต น้องปอสาม

วาทกรรมปิโตรธิปไตย ประชาธิไตยพลังงาน

Energy Guru อ่านบทความอาจารย์ ประสาท มีแต้ม ที่ลงในสื่อผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 24 ก.ค.2559 หลังที่แกไปเป็นวิทยากรบนเวที คปพ.ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 23ก.ค หัวข้อจากปิโตรธิปไตยสู่ประชาธิปไตยพลังงาน ก็เห็นว่าอาจารย์แกชอบประดิษฐ์คำ มาเพื่อจูงใจมวลชน แกให้ความหมาย ปิโตรธิปไตย ว่า การครอบงำโลกด้วยปิโตรเลียม พร้อมเขียนความจริงตามความเข้าใจของแก 5ประการ ซึ่งคงจะได้ถกกัน เป็นข้อๆ ดังนี้

ที่มาภาพ https://www.facebook.com/729679307066728/photos/a.731322350235757.1073741828.729679307066728/1221369387897715/?type=3&theater

1.แกบอกว่ายูโนแคลของสหรัฐอเมริกา ไปทำธุรกิจที่อินโดนีเซีย ในปี2504 (ก่อนไทย10ปี ) ใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของปิโตรเลียม อุปกรณ์การผลิต การจำหน่ายและปรับเปลี่ยนแผนการผลิต แต่พอยูโนแคลมาลงทุนที่ไทย ไทยกลับใช้ระบบสัมปทานปิโตรเลียม ที่กรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ เป็นของผู้รับสัมปทาน ดังนั้น ที่เขียนในพ.ร.บ.ปิโตรเลียมพ.ศ2514ว่า “ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ” จึงเป็นวาทกรรม แบบเดียวกับเพลง จดหมายผิดซอง เพื่อต้องการจะบอกให้ประชาชนเข้าใจว่า รัฐเป็นเจ้าของแต่ซองจดหมาย แต่จดหมาย(หมายถึงปิโตรเลียม) นั้นเป็นของเอกชนผู้รับสัมปทาน 

เรื่องนี้ ถ้าไปอ่านดูประวัติศาสตร์ปิโตรเลียม ก็ต้องบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของฝ่ายนโยบายและข้าราชการระดับสูงของไทยสมัยนั้น ที่ให้ร่างกฏหมายเพื่อนำระบบสัมปทานมาใช้ แบบเดียวกับประเทศผู้ล่าอาณานิคมใช้กัน ซึ่งทำให้รัฐได้ประโยชน์ มากกว่าเพราะรัฐไม่ต้องมารับความเสี่ยง รัฐเป็นเจ้าของปิโตรเลียม แต่ให้สิทธิ์ผู้รับสัมปทานมาดำเนินการแทน ในขณะที่ ระบบแบ่งปันผลผลิต ที่อินโดนีเซียใช้เป็นประเทศแรกค่อนข้างมีปัญหาในทางปฏิบัติ มีการจ่ายใต้โต๊ะ มีคอร์รัปชั่น ด้วยระบบที่เอื้อให้ทำเช่นนั้น เนื่องจากกระบวนการทุกอย่างรัฐเป็นผู้อนุมัติ ไม่จูงใจให้เอกชนปรับลดต้นทุนของตน เพราะมีรัฐมาช่วยแบกรับความเสี่ยง 

2.แกบอกว่า แหล่งเอราวัณที่ยูโนแคล(ปัจจุบันเป็นของเชฟรอน)ได้สัมปทานไปนั้น เคยแจ้งกับรัฐว่าจะหมดภายใน17ปี นับแต่วันที่เริ่มเจาะหลุมผลิตเมื่อปี2524 แต่ตอนนี้ผ่านมา35ปี ยังไม่หมด( เพื่อจะบอกว่าปิโตรเลียมไทยนั้นมีเยอะ ที่รัฐบอกว่าจะหมด เหมือนเป็นการขู่ให้กลัว)

ที่จริง ที่มันยังไม่หมด อาจารย์แกน่าจะรู้ดี ว่ามันมีการพัฒนาเทคโนโลยีการสำรวจและผลิต ให้เหมาะกับโครงสร้างทางธรณีวิทยา และเจาะหลุมผลิตใหม่ๆเพิ่มทุกปี ปิโตรเลียมที่อยู่ใต้ดินแบบกระเปาะเล็กๆ กระจัดกระจายที่เดิมคิดว่าจะนำขึ้นมาใช้ไม่ได้ ไม่คุ้มทุน ก็มีความคุ้มทุน ซึ่งต้องยกความดีให้ระบบสัมปทาน ที่จูงใจให้เอกชนต้องพัฒนาเทคโนโลยีและลดต้นทุนของตัวเองให้ต่ำ เพราะ ยิ่งทำให้ต้นทุนต่ำได้เท่าไหร่ ก็มีกำไรเพิ่มขึ้น ในขณะที่ไทย ก็สามารถนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ได้ผลตอบแทนเป็นร่าภาคหลวง ภาษีปิโตรเลียมมากขึ้น 

3.อาจารย์แกบอกโดยอ้างข้อมูลกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ว่าบริษัทผู้รับสัมปทานนั้นได้กำไรมากเกินควร คือปี2555 ได้กำไรร้อยละ117 (ราคาน้ำมันอยู่ที่เฉลี่ย98เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล)

ก็ต้องบอกในข้อเท็จจริงที่เป็นสากลทั่วไปไม่เฉพาะประเทศไทยว่า ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม นั้น ความเสี่ยงสูง กำไรสูง ประเด็นก็คือกำไรมาก ก็ต้องแบ่งให้รัฐมาก เพราะ รัฐเก็บภาษีปิโตรเลียมสูงถึงร้อยละ50 (เก็บในสัดส่วนที่สูงกว่าธุรกิจอื่นๆ) ที่จริงปีที่ได้กำไรน้อย หรือขาดทุนก็มี คือปีที่ราคาน้ำมันตกต่ำอย่างปี2558แต่อาจารย์แกเลือกหยิบมาเฉพาะปีที่กำไรดี และเลือกมาเฉพาะบางบริษัท แต่ไม่ได้ยกตัวอย่างบริษัทที่เข้ามาลงทุนแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสำรวจไม่เจอ แล้วต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน 

4.แกบอกว่าราคาก๊าซพม่า ที่ขายให้ไทยลดลง แต่ราคาค่าไฟฟ้าในประเทศไทย ไม่ลดลงเลย

ข้อนี้ เป็นความเข้าใจที่ผิดไปเลย ความจริงคือราคาค่าไฟฟ้าในส่วนของเอฟที มีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละงวด แต่จะลดลงช้ากว่าราคาน้ำมันที่ปรับลดลง เพราะสูตรราคาก๊าซนั้นผูกติดกับราคาน้ำมันย้อนหลังไปประมาณ6-12เดือน คือ น้ำมันลดลงวันนี้ อีก6-12เดือน ราคาก๊าซจึงจะลดลงตาม และการปรับลดลงก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วยเช่น อัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งลดลงในสัดส่วนที่ไม่เท่ากับราคาน้ำมันที่ลดลง หรือราคาก๊าซจากพม่าที่ลดลง เพราะ การผลิตไฟฟ้าของไทย ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงประมาณเกือบร้อยละ70 และส่วนใหญ่ เป็นก๊าซจากอ่าวไทย ก๊าซจากพม่า คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 20เท่านั้น นอกจากนี้ ก๊าซจากพม่า กับก๊าซจากอ่าวไทย ก็มีสูตรราคาที่อ้างอิงราคาน้ำมันที่ต่างกัน การปรับลดลง จึงไม่เท่ากัน

5.แกบอกว่ารัฐขู่ว่าไฟจะดับ ถ้าไม่ต่ออายุสัมปทานเอราวัณและบงกช ที่จริงอาจารย์แกก็รู้ว่า

สัมปทานเอราวัณและบงกช นั้น หมดอายุสัมปทานคราวนี้แล้ว ต่ออายุไม่ได้ แต่ต้องเป็นการทำสัญญาใหม่ เงื่อนไขใหม่ ส่วนจะเป็นระบบแบบใด ใครจะได้มาบริหารจัดการ ก็อยู่ที่ขั้นตอนการประมูลคัดเลือกตามมติกพช. และถ้าการผลิตไม่ต่อเนื่อง รัฐก็ไม่ได้บอกว่า ไฟฟ้าจะดับ แต่บอกว่าไฟฟ้าจะแพง เพราะ ต้องนำเข้าแอลเอ็นจี ที่มีราคาแพงกว่าก๊าซในอ่าวไทย เข้ามาใช้ทดแทน ส่วนข้อเสนออาจารย์ที่ให้ส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อป มาแทนไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซนั้น ก็ต้องบอกว่า ถ้าติดตั้งจริง เวลา กลางคืน ไม่มีแสงอาทิตย์ เราจะเอาไฟฟ้าจากไหนมาใช้ เพราะระบบแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้าแพงมาก จำเป็นที่รัฐจะต้องลงทุนโรงไฟฟ้าที่ใช้ฟอสซิลมาแบ็คอัพให้อยู่ดี ข้อนี้อยากจะบอกว่า โซลาร์รูฟท็อบ ถ้าติดตั้งเพื่อไม่ขายไฟเข้าระบบ นั้นทำได้ หรือถ้าจะขาย ก็ต้องขายในราคาต้นทุนที่ไม่มีการอุดหนุน ซึ่งต้องต่ำกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะถ้ายังมีการอุดหนุน ยิ่งทำมาก ค่าไฟก็ยิ่งแพง ประชาธิปไตยพลังงานที่อาจารย์แกหมายถึงว่าทุกครัวเรือนมีสิทธิ์ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ขายเข้าระบบ จึงยิ่งเป็นการซ้ำเติมต้นทุนพลังงานของประเทศ 

เขียนถกกับอาจารย์แกเสียยาว หวังว่าคงจะอ่านกันจนถึงบรรทัดสุดท้าย ส่วนจะคิดเห็นกันอย่างไรก็อยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละท่านก็แล้วกัน

วาทกรรมประดิษฐ์ ทำให้เข้าใจผิดเรื่องพลังงาน

ถ้ามีใครได้เห็นหรือว่า วาทกรรมประดิษฐ์ที่กลุ่ม คปพ และ พธม สร้างมา โดยเป็นประเด็นเดิมๆ กลุ่มการเมืองที่หันมาเอาดีเรื่องพลังงาน มาตีเป็นกระแสบังหน้า มาระดมมวลชน สร้างวาทกรรมประดิษฐ์ อ้างรักชาติ ตีรวน หวังจะสร้างราคา ผมขอสรุปเลยดีกว่า

ที่มาภาพ https://www.facebook.com/nongposamm/photos/a.1548159858783765.1073741828.1547935488806202/1766799376919811/?type=3&theater

- ไทยเราผลิตน้ำมันดิบเกรดดีได้ในบางแหล่งก็จริง แต่ความต้องการใช้ในประเทศรวมไปถึงโรงกลั่นออกแบบมาให้กลั่นน้ำมันได้ออกมาตามความต้องการใช้งาน ไทยเราใช้ดีเซลมากกว่าเบนซิน ดังนั้น จะให้เอาน้ำมันดิบมากลั่นได้แต่เบนซิน แล้วนำเข้าดีเซลเยอะๆ ได้อย่างไร สู้ส่งเอาน้ำมันดิบเกรดนั้นซึ่งกลั่นได้สัดส่วนเบนซินเยอะขายออก เอาเงินเข้ารัฐได้มากกว่า น้ำมันที่ส่งออกก็ต้องจ่ายค่าภาหลวงให้กับรัฐ และหากมีกำไรตอนปลายปีก็ต้องนำไปรวมเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมด้วย และนำเข้าน้ำมันดิบที่กลั่นได้สัดส่วนดีเซลเยอะเพื่อมากลั่นให้พอใช้กับความต้องการใช้ดีเซลไม่ดีกว่าหรือ? ซึ่งการส่งออกน้ำมันดิบของไทย นั้นน้อยมาก และการส่งออกน้ำมันดิบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ประเทศต่างๆ ก็ส่งออกกัน แบบนี้ประเทศเหล่านั้นคิดผิด? เค้าเสียอธิปไตยทางพลังงาน?

- ราคาน้ำมันประเทศไทยกับเพื่อนบ้าน แต่ละประเทศมีนโยบายที่ต่างกัน โครงสร้างราคา มาตรฐานน้ำมัน พลังงานทดแทนด้วย พม่านำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากไทย แต่ความจริง พม่านำเข้าจากสิงคโปร์เยอะที่สุด ซึ่งราคาน้ำมันสำเร็จรูปในพม่าถูกกว่าสิงคโปร์ แบบนี้สิงคโปร์ผิดหรือไม่ที่ขายน้ำมันในประเทศแพงกว่าพม่า ราคาต่างกันลิตรนึงประมาณ 20 บาท มีคนพยายามเปรียบเทียบราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ไทยกับมาเลเซีย และบอกว่าจะนำเข้าจากมาเลเซียที่ถูกกว่ามาขาย ซึ่งนำเข้าได้ แต่ต้องถูกกฎหมาย นำเข้าก็ต้องเก็บภาษี ตามนโยบาย ต้องปรับปรุงคุณภาพให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมของไทย ต้องมีส่วนผสมพลังงานทดแทน สุดท้าย ก็ราคาขายเท่ากันเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ได้มา คือเงินตราของประเทศไหลออก และวาทกรรมปลอมๆ หลอกให้เข้าใจผิดว่า มาเลเซียดีกว่าไทย น้ำมันถูกกว่าไทย

- มีการบอกว่า ถ้ามีบรรษัทพลังงานแห่งชาติ จะได้ตั้งราคาขายน้ำมันได้เองถูกๆ ไม่ต้องมีก็ตั้งได้ครับ ไม่ต้องอิงตลาดไหน กำหนดเอง แต่มาตรฐานอยู่ตรงไหน ความถูกที่สุด หรือราคาเป็นธรรมที่ทุกภาคส่วนได้รับ คนขาย และ คนซื้อ หรืออย่างไร และรายได้รัฐจะลดลงหรือไม่ ขัดกันหรือไม่กับความต้องการให้รัฐมีรายได้มากๆ สุดท้ายเราก็จะได้อีก วาทกรรมราคาเป็นธรรม ไม่ต้องอิงราคาจากไหน

- ทรัพยากรปิโตรเลียมนั้นเป็นของรัฐไทยอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึงเป็นของคนไทยทั้งประเทศ แต่รัฐให้สิทธิเอกชนมาดำเนินการ ภายใต้ระบบ สัมปทาน ที่รัฐได้ผลตอบแทนในรูปค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และผลตอบแทนพิเศษอื่นๆ เรามีแหล่งปิโตรเลียมขนาดเล็กกระจัดกระจาย การสำรวจกว่าจะค้นพบและพัฒนาได้มีความเสี่ยงสูง รัฐจึงเลือกไม่รับความเสี่ยง ตรงนี้ข้อมูลทางธรณีวิทยา บอกอยู่แล้ว ไม่ต้องเดา ไม่ต้องมาสร้างวาทกรรมบิดเบือนหลอกผู้คน นี่ไงครับ ได้มาอีก อธิปไตยพลังงาน วาทกรรมประดิษฐ์

- อายุสัมปทานของ แหล่ง บงกช เอราวัณ กำลังจะหมดลง แต่รัฐบอกจะต่อให้รายเดิม มีใครที่ไหนเคยบอกว่าต่อให้รายเดิม เพราะตามกฎหมายระบุชัดเจนว่าต่อไม่ได้ แต่รัฐเสนอแนวทางในการบริการจัดการภายใต้หลักการทางวิชาการ เศรษฐศาสตร์ ความเป็นไปได้ในการชักจูง เชิญชวนให้เกิดการลงทุน ภายใต้เงื่อนไขจำกัดในเรื่องศักยภาพที่ตะต้องมึการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายคือสร้างความต่อเนื่องในการผลิตก๊าซธรรมชาติ แต่เพื่อตอบโจทย์การเรียกร้องของสังคมมติ กพช. จึงออกมาเห็นชอบให้ใช้การประมูลเพื่อบริหารจัดการทั้งสองแหล่ง (เป็นไงบ้าง เชื่อยังว่าโดนคณะเกาะการเมืองนี้หลอก)

- รัฐไม่มีอำนาจในการผลิตปิโตรเลียม ไม่มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี ก็ไม่จริงอีกเช่นกัน เพราะรัฐยังสามารถ กำกับดูแลผู้รับสัมปทานได้ตามกฎหมาย ส่วนการถ่ายทอดเทคโนโลยี ก็เห็นได้ชัดจาก การให้ทุนพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกรรรมปิโตรเลียม ที่สำคัญคุณเคยรู้หรือไม่ปัจจุบันในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีคนไทย สัญชาติไทยปฎิบัติงานอยู่เกือบ 100% โดยที่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ก็เห็นได้ชัดจาก การให้ทุนพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกรรมปิโตรเลียม และการที่ ปตท.สผ. สามารถเป็นโอเปอเรเตอร์ได้เอง เราไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดนคณะนี้หลอกซ้ำซ้อนสร้างวาทกรรมรัฐเสียเปรียบอีก นึกถึงหรือไม่?

- มีการบอกว่า รัฐไม่ฟังเสียงที่เสนอร่าง พรบ. ที่ภาคประชาชนเสนอไป รัฐได้ฟังข้อเสนอแล้ว แต่ก็ต้องมองว่าอันทำได้และปฎิบัติได้จริง ดังนั้นก็มีใส่ระบบต่างๆ ลงไปตามที่เสนอ ทั้ง จ้างผลิต แบ่งปันผลผลิต ลงไปด้วยแล้ว เพียงแค่มันไม่ได้ถูกใจกลุ่มคุณใช่หรือไม่ เลยเป็นที่มาว่า รัฐไม่ทำตามเสียงประชาชน

- มีการกล่าวอีกว่าเอกชนผลักค่าเสียหาย สิ่งแวดล้อมให้รัฐ ก็ไม่จริงอีก เพราะการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงปรับสภาพพื้นผิวให้เหมือนเดิมหลังสัมทานหมดอายุ เป็นความรับผิดชอบของผู้รับสัมปทานเอง ได้วาทกรรมมาอีก รัฐเสียเปรียบเอกชน เอกชนเอาเปรียบเรา

- มีการกล่าวไปอีกเอกชนผลักความเสี่ยงให้รัฐในระบบภาษี มีการยกเว้นภาษีและหักค่าใช้จ่ายได้มากกว่าธุรกิจทั่วไปของประชาชน ก็ไม่จริง ทุกอย่างก็เป็นไปตามข้อกฏหมาย ที่เชิญชวนเขามาลงทุน อันนี้น่าจะปิดประเทศไปเลย ไม่ต้องส่งเสริมธุรกิจร่วมทุน

- มีการกล่าวอีกมีการใช้ดุลพินิจของข้าราชการและนักการเมือง ก็ไม่จริงอีก เพราะการตัดสินใจ มีระบบ หลักเกณฑ์ เป็นรูปแบบคณะกรรมการ มีกฏหมายรองรับ ไม่ใช่ใครอยากจะให้เป็นแบบไหนก็ได้ (45 ปีที่มี พ.ร.บ. 2 ฉบับมาไม่เคยเขียนถึงการให้ต่ออายุสัมปทานหลังจากหมดอายุที่อนุญาตให้ผลิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะเวลาการผลิตได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ระยะสำรวจใน Thailand II Concession Scheme สั้นกว่า Scheme อื่นๆ เสียด้วยซ้ำไป) ได้วาทกรรมรักชาติปลอมๆ เอาการเมืองเอาสีมาโหนเล่น ให้เกลียดกัน

- การผลิตไฟฟ้าให้พอดีและทันกับความต้องการของประเทศ ไม่ใช่พิจารณาแค่ไฟฟ้าสำหรับภาคครัวเรือน 2 ล้านหลังคาเรือนเท่านั้น แต่ยังมีภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เป็นตัวขับเคลื่อน และสร้างความมั่นคงของประเทศ
- พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานที่สะอาด แต่อย่างไรก็ตามการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนนี้ ยังไม่สามารถเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ได้ ทดแทนแหล่งพลังงานหลักได้ รวมทั้ง ราคายังสูงมาก การพัฒนาเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าไปมาก ต้นทุนลดลงมากเช่นกัน แต่ก็คงยังสูงอยู่เมื่อเทียบกับการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล (เป็นไงวาทกรรมเกี่ยวไฟฟ้า)

- ก๊าซไทยแพงกว่าตลาดโลก อันนี้เข้าใจผิดหลายรอบละ ออกรายการก็ออก ถึงขั้นไปตัดเทปรายการทิ้งเลย ผู้รับสัมทานขายก๊าซปากหลุมแพงกว่าตลาดโลก ก็ไม่จริงอีก ราคาก๊าซซื้อขายโดยอิงกับราคาที่ผู้ใช้รายใหญ่ในภูมิภาคซื้อ คือ JKM หรือ Japan/Korea Marker เนื่องจากสองประเทศนึ้เป็นประเทศใหญ่ในการซื้อขาย LNG ราคา Spot ที่ประเทศอื่นจะซื้อจึงอิง JKM เป็นหลัก และราคานี้ก็ใช้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคเท่านั้น และก๊าซที่บอกว่าถูกของสหรัฐอเมริกา เมื่อต้องแปรสภาพและขนส่งมา บวกค่าลงทุนสร้างคลังและสถานีรับจ่ายแล้ว ก๊าซที่ผลิตในไทยเฉลี่ยย้อนหลังแล้วยังถูกกว่า (แนวโน้มการซื้อขาย LNG จะเป็นการซื้อขายแบบเป็นคอนแทรค (Contract) มากขึ้นๆ เรื่อยๆ หลลังจากที่โรง LNG ใหญ่ๆ สร้างเสร็จอย่างโรงที่ ปตท.สผ. ไปร่วมทุน แหล่งของ Exxon และของบริษัทออสเตรเลีย ในประเทศปาปัวนิวกินี และแหล่งในทะเลทางตะวันตกเฉียงเหนือที่เชลล์สร้างโรง LNG ลอยย้ำห่างจากฝั่ง 300 กิโลเมตรชื่อ Prelude ซึ่งมีระวางขับน้ำรวม 600,000 ตัน (เท่ากับของเรือบรรทุกเครื่องบินนิมิส 7 ลำ) ก็พอสบายใจได้อุปทาน แต่ยังไงๆ เรื่องราคาก็ยังต้องคงอิงราคาที่นิยมใช้กันเป็นกรณีๆ กันไป) ที่สำคัญคือรัฐได้ค่าภาคหลวง ภาษี เกิดการจ้างงาน เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจดีกว่า ก๊าซนำเข้า อันนี้วาทกรรมก๊าซของไทยแพงกว่าตลาดโลก

- วาทกรรมแปรรูปขายหุ้นหมดเร็ว 77 วินาที อธิบายกันมาหลายรอบ เป็น 10 กว่าปี ขายหมดเร็วเพราะมีการให้ความมั่นใจนักลงทุน แถมก่อนหน้าก็มีการเปิดจองทดลองแล้วคนก็ไม่สนใจ หุ้นต่ำเพราะมีเหตุการณ์ 911 หุ้นมันก็ตกต่ำทั่วโลก แถมหุ้นยังมีต่ำกว่าราคา 35 บาทด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจดีขึ้น ราคามันก็เพิ่มมาเป็นปกติ เป็นไงบ้าง วาทกรรมขายหุ้นหมดเร็ว ตอนหุ้นตก เหลือ 28 บาท ไปทำอะไรกันอยู่ เรื่องท่อ ถ้าไปอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองว่าให้ ปตท.ส่งมอบที่ดินและสิ่งอื่นๆ ที่ได้มาด้วยอำนาจรัฐ (เช่นเดียวกับการเวนคืน และการใช้พิ้นที่ของเอกชนโดย กฟผ. กฟภ. และกฟน.) ซึ่งหลักๆ ก็หมายถึงที่ดิน ไม่รวมถึงตัวท่อและอุปกรณ์ ไม่งั้นในอนาคตจะเป็นเรื่องประหลาดมากระดับกินเนสที่ กฟผ.ผลิตไฟฟ้าแล้วต้องไปเช่าสายส่งจากกรมธนารักษ์มาส่งไฟฟ้าให้ลูกค้า ศาลตัดสิน คนทำก็ทำตามศาลตัดสิน อันไหนไม่เข้าข่ายให้ทำนอกเหนือคำตัดสินได้อย่างไร สุดท้ายเจ้าหน้าที่ทำตามหน้าที่ จะให้ละเมิดคำตัดสิน?

- การที่บอกว่า ประเทศไทยมีโรงกลั่นมากมายเราจะได้ใช้ราคาน้ำมันที่ถูกนั้น ในอดีตการใช้ไม่ได้มากมายเท่าในปัจจุบัน โปรดตระหนักให้มั่น เราผลิตได้แค่ประมาณ 15% ที่เหลือต้องนำเข้าที่เหลือ และถ้าเราต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างเดียว ความมั่นคงทางพลังงานจะอยู่ที่ไหน

- วาทกรรมประเทศไทยโชติ์ช่วงชัชวาลย์ ตีความหมายคำนี้ว่า พลังงานถูกหรืออย่างไร มันไม่ใช่ ประเทศไทยพลังงานไม่ขาดแคลน มีการจ้างงานและเศรษฐกิจที่ดีหรือ? ฝากให้คิด

ที่มาเนื้อหา น้องปอสาม ตอบวาทกรรมประดิษฐ์จะได้ไม่เข้าใจเรื่องพลังงาน

อธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงาน(2)

ในโพสต์ที่แล้วผมได้วิเคราะห์ถึงคำแถลงคัดค้านของ คปพ.ที่มีต่อร่างแก้ไขพรบ.ปิโตรเลียมฯของกระทรวงพลังงานว่ามีเนื้อหาเน้นหนักอยู่ในสองประเด็นหลัก คือ เรื่องสิทธิในการบริหารจัดการปิโตรเลียมที่ค้นพบและผลิตได้ในประเทศ และเรื่องการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ



เรามาลงในรายละเอียดกันสักหน่อยว่าการได้สิทธิ์ไนการบริหารจัดการปิโตรเลียมเองนั้นจะทำให้เรามีอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานมากขึ้นหรืออย่างไร

ถ้าพรบ.ปิโตรเลียมบัญญัติไว้อย่างที่คปพ,ต้องการ คือปิดทางเลือกที่รัฐจะมอบให้ผู้ประกอบการสามารถนำเอาปิโตรเลียมที่ค้นพบและผลิตได้ไปขายและแบ่งผลประโยชน์ให้แก่รัฐตามสัญญาในรูปของตัวเงิน รัฐก็จะต้องรับส่วนแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์เท่านั้น (ซึ่งร่างพรบ.ที่กระทรวงเสนอ รัฐจะรับส่วนแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ก็ได้)

เมื่อรัฐรับมาเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้รายได้สูงสุดรัฐก็ต้องนำเอาผลิตภัณฑ์นั้นไปขายในราคาตลาดเพื่อให้ได้เป็นเงินมาเป็นรายได้แผ่นดิน หรือจะแบ่งส่วนหนึ่งเป็นกองทุนเอาไว้อุดหนุนราคาน้ำมัน หรือเอาไว้ใช้จ่ายในโครงการสวัสดิการสังคมต่างๆอย่างที่คปพ.ตั้งเป้าหมายเอาไว้ (จริงๆแล้วมันก็คือเงินก้อนดียวกันกับรายได้จากค่าภาคหลวงและภาษีปิโตรเลียมในปัจจุบันนั่นแหละ เพียงแต่ปัจจุบันเขาเอาเข้าหลวงทั้งหมด แต่ตามพรบ.ปิโตรเลียมของคปพ.จะแบ่งเอาไปตั้งกองทุนเพื่อบริหารเองแบบสสส.)

ถามว่ารัฐจะเอาปิโตรเลียมที่เป็นน้ำมันหรือก๊าซไปกลั่นเองหรือแยกก๊าซเองแล้วนำออกขายให้ประชาชนในราคาถูกๆได้หรือไม่ คำตอบคือทำได้ครับ แต่จะมีความยุ่งยากในการบริหารจัดการเป็นอย่างมาก

ข้อสำคัญปริมาณปิโตรเลียมที่รัฐได้มาก็ไม่เพียงพอที่จะใช้บริโภคภายในประเทศ ต้องนำเข้าอีกมากทั้งก๊าซและน้ำมัน ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงไม่มีใครทำกัน แม้แต่ประเทศที่ร่ำรวยจากการส่งออกน้ำมันอย่างในตะวันออกกลาง หรือมาเลเซีย เขาก็เลือกที่จะเอาปิโตรเลียมที่ได้มาไปขายในราคาตลาด แล้วเอาเงินรายได้จากการขายปิโตรเลียมมาอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศ หรือไม่เก็บภาษีจากน้ำมัน จึงทำให้ประเทศเหล่านี้จำหน่ายน้ำมันให้ประชาชนได้ในราคาถูก อย่างที่มีผู้ชอบนำมาอ้างอิงกัน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะรับมาเป็นผลิตภัณฑ์แล้วเอามาบริหารจัดการเอง หรือมอบหมายให้ผู้ประกอบการคู่สัญญาไปบริหารจัดการแทน เป้าหมายสุดท้ายก็เหมือนกันคือ ต้องการให้ได้ตัวเงินที่เป็นรายได้ของประเทศสูงที่สุดด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด รั่วไหลน้อยที่สุด โปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งทั้งหมดนี้คือเรื่องของประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งสิ้น (Management Efficiency) ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับอธิปไตยหรืออิสรภาพทางพลังงานแม้แต่น้อย เพราะรัฐยังมีอำนาจเต็มที่ที่จะสั่งการหรือให้ความเห็นชอบและตรวจสอบต่อการดำเนินการใดๆของผู้ประกอบการคู่สัญญา และสั่งระงับหรือปฏิเสธการดำเนินการใดๆที่ทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ได้

ซึ่งในหลายๆประเทศที่ใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตก็ใช้หลักการนี้คือไม่ได้รับส่วนแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์แต่อย่างใด แต่ได้มอบหมายให้ผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ และมีความเป็นมืออาชีพมากกว่า เป็นผู้บริหารจัดการแทน อย่างเช่นประเทศเมียนมาร์ที่มีผู้ชอบยกตัวอย่างอยู่เสมอๆว่าได้เปลี่ยนจากระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตหมดแล้ว ก็ยังคงให้บริษัทปตท.สผ.ที่ไปลงทุนสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติในเมียนมาร์เป็นผู้บริหารจัดการปิโตรเลียมที่ผลิตได้ โดยรัฐคอยรับส่วนแบ่งรายได้เป็นเงินเหมือนเดิม

อย่างนี้จะบอกว่ารัฐบาลเมียนมาร์สูญเสียอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานให้ไทยใช่หรือไม่
นอกจากวาทกรรมเรื่องนี้ ล่าสุดกลุ่มคปพ.ยังได้มีความพยายามจะลากเอาการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาพัวพันกับเรื่องร่างแก้ไข

พรบ.ปิโตรเลียมในครั้งนี้ โดยพยายามโยงว่าการแก้ไขร่าง
พรบ.ปิโตรเลียมครั้งนี้มีเบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนจากต่างประเทศ เหมือนกับการร่างพรบ.ปิโตรเลียมในปี 2514 ที่มี CIA อยู่เบื้องหลัง จึงเป็นการเขียนโดยฝรั่ง เพื่อฝรั่ง ฝรั่งร่าง ฝรั่งรวย

ฟังแล้วช่างเป็นวาทกรรมที่ดูถูกคนไทย เห็นคนไทยรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาเสียนี่กระไร !!!
มนูญ ศิริวรรณ
6 ก.ค. 59

ที่มา มนูญ ศิริวรรณ อธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงาน(2)

อธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงาน(1)

กลุ่มเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้ออกมาแถลงคัดค้าน(อีกที) ต่อร่างแก้ไขพรบ.ปิโตรเลียมสองฉบับของกระทรวงพลังงานที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคระรัฐมนตรีและที่ประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวาระที่หนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการเปิดให้มีการแปรญัตติของคณะกรรมาธิการวิสามัญก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่สองต่อไป



เนื้อหาของการคัดค้านที่สำคัญก็คือ กลุ่มคปพ.เห็นว่าแม้ร่างแก้ไขพรบ.ดังกล่าวจะได้เพิ่มระบบแบ่งปันผลผลิต (PSC) และระบบจ้างผลิต (Service Contract-SC) ไว้ในร่างแก้ไขพรบ.แล้วก็ตาม แต่กฏหมายก็ยังเปิดช่องให้สิทธิในการบริหารและขายปิโตรเลียมยังคงตกอยู่ในมือเอกชนเช่นเดิม โดยรัฐทำหน้าที่รอรับผลประโยชน์จากรายได้ที่เอกชนขายปิโตรเลียมได้ตามส่วนแบ่งที่ตกลงกัน

ซึ่งตรงนี้ทางฝ่ายคปพ.เห็นว่าร่างพรบ,ฉบับนี้ยังไม่สามารถนำอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานกลับคืนมาให้ประเทศชาติอย่างแท้จริง

ในความคิดของกลุ่มคปพ. เพื่อให้เรามีอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานดังกล่าวอย่างแท้จริง รัฐจะต้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในการบริหารและขายปิโตรเลียมเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบจ้างผลิตนั้นรัฐจะต้องดำเนินการเองทั้งหมด100% โดยเอกชนจะรับแต่เพียงค่าจ้างผลิตเท่านั้น

เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว คปพ.จึงเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติขึ้นเพื่อบริหารจัดการในเรื่องนี้ ดังนั้นการที่ร่างแก้ไขพรบ.ปิโตรเลียมฯไม่บัญญัติเรื่องการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติขึ้นตามที่คปพ.เรียกร้อง จึงเท่ากับเป็นการยกอธิปไตยในการขายปิโตรเลียมที่ผลิตได้ให้กับเอกชน

จะเห็นได้ว่าเนื้อหาสำคัญๆที่กลุ่มคปพ.คัดค้านร่างแก้ไข พรบ.ปิโตรเลียมของกระทรวงพลังงานที่กำลังพิจารณากันอยู่ในสภาฯมีอยู่เพียงสองเรื่องใหญ่ๆเท่านั้น คือ เรื่องการบริหารจัดการปิโตรเลียมที่รัฐต้องเป็นคนบริหารจัดการเองโดยถือเป็นเรื่องอธิปไตยทางพลังงาน และเรื่องการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติเพื่อรองรับการบริหารจัดการนั้น

สำหรับเรื่องแรก ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ารัฐไม่ได้บริหารจัดการปิโตรเลียมที่ได้มาด้วยตนเอง จะถือว่าเราไม่มีอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่วาทกรรมปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยมให้คุกรุ่นขึ้นมาเท่านั้น

การบริหารจัดการปิโตรเลียมที่ผลิตได้ในประเทศนั้นมีหลายรูปแบบและหลายวิธี ไม่จำเป็นว่ารัฐจะต้องเป็นผู้บริหารจัดการเองเสมอไป แต่หลักการสำคัญคือต้องเน้นหลักความเป็นมืออาชีพ มีประสิทธิภาพ ได้ประโยชน์สูงสุด และโปร่งใสตรวจสอบได้

ซึ่งถ้าเอาเงื่อนไขเหล่านี้เข้าจับแล้วลองพิจารณาดู ก็จะเห็นว่าการให้รัฐบริหารจัดการเองทั้งหมด หรือ ให้เอกชนบริหารจัดการโดยมีรัฐเข้าร่วมตรวจสอบ แบบไหนจะมีประสิทธิภาพดีกว่ากัน

ส่วนในเรื่องบรรษัทพลังงานแห่งชาตินั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดตั้งครับ ว่าจะจัดตั้งขึ้นเป็นแบบใด
ถ้าจัดตั้งขึ้นมาเป็นองค์กรที่รับมอบทรัพย์สินในแปลงสัมปทานที่จะหมดอายุ แล้วเข้าร่วมทุนกับผู้ประกอบการรายใหม่หรือรายเดิมก็แล้วแต่ หรือจะเข้าร่วมประมูลในแปลงปิโตรลียมที่จะเปิดสำรวจใหม่ก็คงไม่มีปัญหา

แต่ถ้าจะตั้งเป็นบรรษัทพลังงานแห่งชาติตามรูปแบบที่คปพ.เสนอให้กินรวบเบ็ดเสร็จเป็นทั้ง regulator และ operator แถมยังมีอำนาจสารพัด ผมคงรับไม่ได้

กลัวจะเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษตัวใหม่ครับ !!!

มนูญ ศิริวรรณ
30 มิ.ย. 59

ที่มา มนูญ ศิริวรรณ อธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงาน(1)

ระบบสัมปทาน ไม่ได้ทำให้ไทยเสียอธิปไตย แต่พัฒนาทรัพยากรขึ้นมาใช้เต็มที่ สร้างองค์กรของไทย และสร้างรายได้เข้ารัฐมหาศาล

Energy Guru อ่านบทความคุณปานเทพ แห่งเอเอสทีวี หนึ่งในแกนนำ คปพ. เขียนย้ำเรื่องอธิปไตยทางพลังงาน ชวนให้คนเข้าใจผิดว่า รัฐบาลคสช. รัฐมนตรีพลังงาน พลเอก อนันตร กำลังจะทำให้ประเทศสูญเสียความเป็นอธิปไตยทางพลังงานไปอีกครั้ง เพราะไม่ยอมตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ เพื่อมาบริหารจัดการกรรมสิทธิ์ ปิโตรเลียม



กลับไปอ่านหน้าเฟซบุค ของคุณธีระชัย อดีตรัฐมนตรีคลัง และแกนนำอีกคน ของ คปพ. ก็ทั้งเขียนทั้งเล่า เรื่องเดียวกันนี้ พร้อมเปิดข้อมูลขุมทรัพย์แหล่งเอราวัณ บงกช ทำนองบริษัทผู้รับสัมปทาน เข้ามากอบโกยทรัพยากรปิโตรเลียมของประเทศ ได้กำไรไปมหาศาล

ควบคู่ไปกับขบวนการล่ารายชื่อมวลชน 10,000 รายชื่อมาเสนอร่างกฏหมายปิโตรเลียมฉบับ คปพ. ที่เอาไปผูกไว้กับเรื่องรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกันได้ ( คงหวังว่าหากปลุกกระแส กฏหมายปิโตรเลียม ได้ มากเท่าไหร่ ฝั่งตัวจะมีอำนาจต่อรองรัฐบาลได้มากขึ้น เรียกว่าเปิดศึกตีขนาบกันเป็นขบวน

ที่จริงถ้าใครฟัง พลเอกอนันตพร ชี้แจงกับสนช. ถึงเหตุผลที่ควรรับร่างแก้ไข พ.ร.บ. ปิโตรเลียม ทั้ง2 ฉบับ ก็ตรงไปตรงมา ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นอะไรเหมือนที่คุณปานเทพอยากจะให้เป็น เพราะพลเอกอนันตพร ก็พูดชัด ว่าต้องการจะเพิ่มทางเลือกเรื่องแบ่งปันผลผลิต มาใช้ในการบริหารจัดการแหล่งปิโตรเลียม2แหล่งใหญ่คือเอราวัณ บงกช ที่ใกล้จะหมดอายุ และไม่สามารถต่ออายุสัมปทานได้อีก เพราะเคยต่ออายุไปแล้ว

การไม่ตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติขึ้นมาใหม่ เพราะกระบวนการต่างๆต้องใช้เวลา ใช้งบประมาณ จึงให้คนกลางมาทำหน้าที่ศึกษา ถึงผลดีผลเสีย ที่สำคัญคือรัฐบาลเข้าใจถึงปัญหาวิกฤตพลังงานที่จะเกิดขึ้นหากการผลิตก๊าซจากทั้ง2แหล่งหยุดชะงัก ว่าจะส่งผลรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเพียงใด จึงใช้ความเด็ดขาดในการดำเนินการ เพราะถ้าลงไปเล่นเกมกับ คปพ.ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าใครต้องการอะไร ก็จะเสียเวลาเสียโอกาสของประเทศไปเปล่าๆ

เพราะเรื่องของการสูญเสียอธิปไตยทางพลังงาน ที่คปพ.ย้ำแล้วย้ำอีกกับมวลชนของตนนั้น เป็นแค่เพียงวาทกรรม ไม่ได้เป็นความจริง ระบบสัมปทานที่ประเทศเราใช้มาเกือบ 40 ปี ไม่ได้ทำให้ไทยต้องเป็นเมืองขึ้นใคร รัฐไม่ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของบริษัทผู้รับสัมปทาน รายไหนเลย ในทางตรงกันข้าม ระบบสัมปทานปิโตรเลียมนี้ต่างๆ ที่ทำให้เกิดการลงทุนสำรวจผลิตปิโตรเลียม จนสามารถค้นพบแหล่งก๊าซใหม่ๆ และทำให้ไทยเข้าสู่ยุคโชติช่วงชัชวาลย์ มีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ทรัพยากรด้วยอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รัฐสามารถที่จะมีบริษัทปตท ปตท.สผ. มาเป็นมือไม้ แขนขา ที่จะต่อกรกับบริษัทพลังงานข้ามชาติรายใหญ่ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำได้ ดอกผลที่เกิดขึ้น ก็ประจักษ์ชัดอยู่แล้ว ว่า ไทยไม่เคยต้องเสียอธิปไตยทางพลังงาน ตามวาทกรรมที่ คปพ.สร้างขึ้นเพื่อหวังสร้างกระแสแนวร่วมจากกลุ่มคนผู้รักชาติเลย

รูปแบบบรรษัทพลังงานแห่งชาติที่คปพ.พยายาม นำเสนอ นั่นต่างหาก ที่จะเป็นกรงขังความเจริญประเทศ พาทุกอย่างถอยหลัง ตัวอย่างของเวเนซุเอลา ก็ปรากฏให้เห็นอยู่แล้ว คุณปานเทพ ทิ้งท้ายบทความของตัวเอง ทำนองว่า ประวัติศาสตร์จะบันทึกว่าคณะรัฐมนตรีที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์และสนช.เป็นผู้ทำให้ไทยสูญเสียอธิปไตยทางพลังงาน แต่ผู้รู้ในวงการกลับจะมองตรงกันข้ามว่า คณะคสช.และสนช. ชุดนี้ ต่างหากที่เป็นผู้กล้าหาญในการตัดสินใจนำพาประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤตพลังงาน และพยายามที่จะนำทรัพยากรปิโตรเลียมของประเทศ มาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับคนไทยทั้งประเทศ โดยที่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ให้ยังขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ทิ้งภาระด้านงบประมาณไว้ให้ลูกหลานต้องตามชดใช้ในอนาคต

ที่มา Energy Guru  ระบบสัมปทาน ไม่ได้ทำให้ไทยเสียอธิปไตย แต่พัฒนาทรัพยากรขึ้นมาใช้เต็มที่ สร้างองค์กรของไทย และสร้างรายได้เข้ารัฐมหาศาล

ด่วน สนช. มีมติรับร่าง พรบ. ปิโตรเลียม และ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม เรียบร้อยแล้วเป็นเอกฉันท์

การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 39/2559 ประเด็น ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมและ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม มีมติเป็นเอกฉันท์ ร่าง พรบ. ปิโตรเลียม และ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม เรียบร้อยแล้ว

โดยร่าง พรบ.ปิโตรเลียม มีผู้เห็นด้วย 152 คน จาก 173 คน คิดเป็น 84%

ส่วนร่าง พรบ. ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม มีผู้เห็นด้วย 154 คน จาก 173 คน คิดเป็น 89%



อย่าปล่อยให้ คปพ. มีอำนาจเหนือรัฐบาล

แชร์ให้ทั่ว บอกต่อในวงกว้าง พรบ.ปิโตรเลียม ฉบับใหม่ รัฐบาลทำตามเสียงของทุกภาคส่วนเป็นสำคัญ เว้นแต่ไม่ถูกจริตของ คปพ ที่จะยกตนเหนือรัฐบาล และ คปพ จะทำตัวเหนืออำนาจรัฐ

ล่าสุดมีการบอกด้วยว่า คปพ.ขู่ไม่รับ รธน.หาก สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม - นัด 24 มิ.ย.ล่าชื่อให้เกิน 1 หมื่น

ที่มา http://m.manager.co.th/Politics/detail/9590000062981

คปพ.บอกว่า ได้จัดทำร่างกฏหมายปิโตรเลียม ฉบับประชาชน (ต้องถามว่า คปพ.เป็นตัวแทนประชาชนทั้งประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องนี้ สนช.ต้องไม่หลงกล วาทกรรมแอบอ้างเจตนารมณ์ประชาชน) ทั้งๆ ที่ การแก้ไขที่ผ่านมานั้น พรบ. ฉบับนี้ มีการหารือ และ แก้ไข รวมถึงเปิดรับฟังความเห็นในหลายเวทีแล้ว ได้แก่ สโมสรกองทัพบก รวมไปถึงที่ทำเนียบรัฐบาล

พรบ ปิโตรเลียม ฉบับใหม่ ไม่ฟังเสียงประชาชนจริงหรือ? (ยาว แต่อ่านเถอะ จะได้รู้ว่าเป็นยังไง) http://on.fb.me/1FYmUQj

ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2559 แก้ไขใหม่ http://on.fb.me/1QIyBcH

แต่การที่จะล่ารายชื่อประชาชนไม่น้อยกว่า10,000 คน เข้าชื่อ เพื่อเสนอร่าง ฉบับ คปพ. ให้สนช.พิจารณา (ถามว่า 10,000 คนนี่คือเสียงส่วนใหญ่ จะชี้นำคน63 ล้านคน ทั้งประเทศได้เลยหรือ) http://bit.ly/28OAAnx

ในส่วนการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ เข้าไปในร่างกฏหมายปิโตรเลียม (จะตั้งทำไมให้ซ้ำซ้อนเปลืองงบประมาณแผ่นดิน 10,000 ล้านบาท อะไรคือประสิทธิภาพ อะไรคือธรรมาภิบาล) นักวิชาการแนะนำด้วยซ้ำว่าไม่จำเป็น http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=707707

คปพ. อยากจะให้รัฐเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ปิโตรเลียม ที่อยู่ใต้ดิน คือจ้างเขาขุดขึ้นมาให้รัฐขายเอง ขายได้แล้วค่อยมาจ่ายค่าจ้าง

(ถามว่า รัฐมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญ ในการค้าขายปิโตรเลียมหรือ ? จะขายราคาเท่าไหร่ จะจ่ายค่าจ้างเขาเท่าไหร่อย่างไร รัฐได้ประโยชน์มากกว่าเดิมจริงหรือ ถ้าผู้ซื้อคือ ปตท. รัฐจะขายถูกหรือขายแพง ถ้าขายถูก รัฐก็ได้ผลตอบแทนน้อย ถ้าขายแพง ประชาชนก็ได้ใช้พลังงานราคาแพง ดังนั้นที่ คปพ.บอกว่าจะให้รัฐได้ผลประโยชน์มากๆ ประชาชนได้ใช้น้ำมันก๊าซราคาถูก จึงเป็นเรื่องที่สวนทางกัน เที่ยวเอาเรื่องกรรมสิทธิ์ มาปลุกกระแสรักชาติ แล้วพามวลชนไปหลงทางกระนั้นหรือ) และที่สำคัญ ตามกฎหมายเดิม ปิโตรเลียมก็เป็นของรัฐอยู่แล้ว การจะกระทำการใดต้องได้รับอนุญาต แล้วควบคุมดูแลโดยรัฐ http://show.energy.go.th/faq_003.html

ที่มา สำนักข่าว INN, กระทรวงพลังงาน, energy guru, และ น้องปอสาม

บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ : ฤาจะเป็นผู้ร้ายในคราบพระเอก???

การพิจารณารายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514


โดยมีข้อเสนอที่สำคัญคือ การให้ตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Company) ให้มีฐานะเป็นตัวแทนของรัฐ ดำเนินการเกี่ยวกับการให้สิทธิ การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอย่างเบ็ดเสร็จและครบวงจร คณะกรรมาธิการได้เสนอให้มีการตรากฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ ให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติเป็นผู้มีสิทธิเพียงรายเดียวในการสำรวจและให้สิทธิเกี่ยวกับปิโตรเลียม ในการดำเนินการบริหารจัดการปิโตรเลียมและการบังคับบริษัทเอกชนในฐานะคู่สัญญา

นอกจากนั้นยังกำหนดให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติมีสภาพนิติบุคคลและมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เพื่อให้การบริหารจัดการสัญญาที่เกี่ยวกับปิโตรเลียมไม่อยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการพัสดุของส่วนราชการ หรือกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐ

บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ จะเป็นผู้ถือสิทธิทรัพยากรปิโตรเลียมแทนรัฐในการสำรวจและแสวงหาประโยชน์จากปิโตรเลียม ควบคุมดูแลระบบการสำรวจและแสวงหาประโยชน์ในปิโตรเลียมทั้งหลาย และมีหน้าที่ในการบริหารสัญญาสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต และสัญญาจ้างผลิต

หากพิจารณาตามข้อเสนอดังกล่าว จะเห็นได้ว่าได้มีการรวมเอาบทบาทของทางราชการในฐานะผู้ให้สิทธิการสำรวจ ผู้กำกับดูแล และผู้ปฏิบัติการเอาไว้ในองค์กรเดียวกัน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาลและการจัดการที่ดี นอกจากนั้นองค์กรดังกล่าวยังเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาติเป็นจำนวนเงินมากมายมหาศาล ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท


ที่มาภาพ น้องปอสาม

คำถามคือ การบริหารจัดการองค์กรดำเนินการอย่างไร โดยใคร ตรวจสอบอย่างไร มีความโปร่งใสแค่ไหน ที่มาของผู้บริหารเป็นอย่างไร ประสิทธิภาพขององค์กรจะวัดกันอย่างไร รายงานต่อใครและรับผิดชอบต่อใคร

ซึ่งผมเชื่อว่าในประวัติศาสตร์ของการบริหารจัดการองค์กรภาครัฐ องค์กรที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในตัวเองมากขนาดนี้ ใหญ่โตขนาดนี้ มีผลประโยชน์มากมายขนาดนี้ น่าจะยังไม่เคยมีมาก่อน และไม่น่าเชื่อว่าจะบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นี่พูดกันแค่เรื่องของการบริหารจัดการองค์กรเท่านั้นนะครับ ยังไม่ได้พูดกันถึงเรื่องของหลักการว่า การมีบรรษัทน้ำมันแห่งชาติมาดูแลการจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมของชาติเบ็ดเสร็จแบบนี้เป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่

จะทำให้เสียบรรยากาศการลงทุนและเกิดการผูกขาดโดยภาครัฐหรือไม่
ซึ่งในหลายประเทศพบว่า บรรษัทน้ำมันแห่งชาติบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ ประสบความล้มเหลว และเป็นบ่อเกิดของการคอร์รัปชัน

ดังนั้น ผมจึงวิตกว่าคณะกรรมาธิการพลังงาน สนช. กำลังจะเสนอให้มียักษ์ในตะเกียงวิเศษตัวใหม่ขึ้นมา ซึ่งถ้าบริหารหรือควบคุมไม่ดีก็จะสร้างปัญหาและผลเสียอย่างมหาศาลให้กับวงการพลังงานของประเทศ

จึงอยากเตือนให้ระวังให้ดี เพราะถ้าเผลอปล่อยยักษ์ตัวนี้ออกจากตะเกียงเมื่อไร แล้วมันไม่ยอมกลับเข้าไป

จะมาหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้นะครับ!!!.

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/tpd/2188059

ความเป็นมา พรบ ปิโตรเลียม ของไทย ที่ไม่ได้มาจากชาวต่างชาติ

เรื่อง “สัมปทานปิโตรเลียม-พ.ร.บ.ปิโตรเลียม” นั้น ในไทยตอนนี้ยังเป็นอีกเรื่องที่ดูจะอึมครึม? ต้องตามดูว่าจะอย่างไรแน่? อย่างไรก็ตาม ย้อนดู ’ความเป็นมา พ.ร.บ.ปิโตรเลียมของไทย“ ก็มีแง่มุมที่น่าคิด...



ทั้งนี้ การบุกเบิกสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในไทยนั้น ประคอง พลหาญ คือหนึ่งในผู้ที่มีส่วนสำคัญ โดยเคยเป็นข้าราชการที่ทำงานเรื่องนี้ ซึ่งบุคคลผู้นี้เป็น 1 ใน 3 คนไทยที่ได้ทุนสหภาพโซเวียตไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยมอสโก โดยจบปริญญาตรีและโท ด้านธรณีวิทยา-ปิโตรเลียม จบเทียบเท่าปริญญาเอกด้านเคมี-ปิโตรเลียม เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรียุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และเคยเป็นอนุกรรมการ ป.ป.ช.ด้วย

เมื่อบุคคลผู้นี้เรียนจบจากมอสโก พจน์ สารสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติในขณะนั้น ได้มอบหมายให้ทำเรื่องกฎหมายปิโตรเลียม สัมปทานสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม ...นี่เป็นจุดเริ่ม “พ.ร.บ.ปิโตรเลียม” ในไทย...

ในปี 2507 เริ่มมีบริษัทน้ำมันสนใจขอสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในไทย ซึ่งกระทรวงพัฒนาการฯ ต้นสังกัดกรมทรัพยากรธรณีที่ ประคอง ทำงานอยู่ เห็นว่าควรประกาศให้บริษัทต่าง ๆ แข่งขันกัน โดยมี กติกาที่เป็นสากล จึงตั้งคณะกรรมการวางหลักเกณฑ์ขอสำรวจ โดยมี รมว.พัฒนาการฯ เป็นประธาน ซึ่งได้จัดทำหลักเกณฑ์ขึ้นโดยศึกษากฎหมายปิโตรเลียมในประเทศอื่น ๆ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้เห็นชอบในเดือน ก.ย. 2508

ต่อมาคณะกรรมการฯ เห็นว่าควรมีรายละเอียดเพิ่ม เช่น การคิดมูลค่าที่ใช้เก็บค่าภาคหลวง-ภาษีเงินได้ การแบ่งผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับผู้ประกอบการ ทางกระทรวงพัฒนาการฯจึงขออนุมัติ ครม. และได้รับอนุมัติในเดือน เม.ย. 2509 ให้จ้างบริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่ปรึกษากำหนดรายละเอียดร่วมกับคณะกรรมการฯ

จนเป็นที่มา “พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514”

นอกจากนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้ขอผู้เชี่ยวชาญจากกรมสรรพากร กรมอุทกศาสตร์ ได้รวมคนเก่งหลายสาขาร่างเงื่อนไข “สัมปทานปิโตรเลียม” ที่รัฐได้ผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมมากที่สุด ขณะเดียวกันก็อำนวยความสะดวกเอกชน ดึงดูดให้ต่างชาติสนใจลงทุน และยอมรับความเสี่ยงกรณีที่สำรวจไม่พบปิโตรเลียม

“มีการแบ่งแปลงพื้นที่สำรวจ... พื้นที่แปลงสำรวจที่เปิดให้สัมปทานส่วนใหญ่อยู่ในอ่าวไทย ซึ่งรอบแรกที่เปิดประมูลสัมปทาน มีบริษัทต่างชาติที่ได้รับสัมปทาน 6 บริษัท...” ...ทาง ประคอง ให้ข้อมูลไว้ ซึ่งในช่วงแรก ๆ ของการขุดสำรวจปิโตรเลียมในไทยนั้น จะเน้นที่การค้นหา น้ำมัน เป็นหลัก จะไม่ค่อยได้สนใจ ก๊าซธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้จึงมีการเผาก๊าซทิ้งเสียของไปมาก ซึ่ง ประคอง ได้เสนอการไฟฟ้าให้รับซื้อก๊าซเพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า หรือนำไปเป็นก๊าซหุงต้มขายให้ประชาชนใช้ในราคาถูก และภายหลังก็มีการสร้างท่อก๊าซจากอ่าวไทยมาที่โรงแยกก๊าซบนบก มีการตั้ง องค์กรก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทย รับซื้อก๊าซผลิตไฟฟ้า และบรรจุถังเป็น LPG ขาย โดยต่อมาองค์กรนี้ได้ยุบรวมตั้งเป็น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท. ในปี 2521

ทั้งนี้ หลังเปิดสัมปทานครั้งแรก ก็ ทำให้ไทยเข้าสู่ยุคโชติช่วงชัชวาล มีก๊าซผลิตไฟฟ้า มีก๊าซหุงต้มราคาถูก และ เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านปิโตรเคมี อย่างก้าวกระโดด นำสู่โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด แหล่งนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมฯมาตาบพุด นิคมฯระยอง ที่ปัจจุบันมีมูลค่าส่งออกสินค้าหลายล้านล้านบาท

สำหรับกองงานที่ ประคอง พลหาญ รับผิดชอบ ก็พัฒนาขึ้น โดยแยกออกเป็นกองเชื้อเพลิงธรรมชาติ ปัจจุบันได้ยกระดับเป็นกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ขณะที่บุคคลผู้นี้ก็ยังมีบทบาทในฐานะอาจารย์ วางรากฐานการสร้างบุคลากรด้านเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาเหมืองแร่ และปิโตรเลียม, คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นผู้จดทะเบียน สมาคมธรณีวิทยาแห่งประเทศไทย เพื่อให้ความรู้ วิชาการ ยกระดับมาตรฐานวิชาชีพธรณีวิทยา

ประคอง เล่าไว้ว่า... ยุคนั้นก็มีการพิจารณาระบบอื่น เช่น แบ่งปันผลผลิต แต่เมื่อศึกษา-ดูเหตุผลต่าง ๆ ในช่วงนั้น ก็พบว่าสัมปทานเป็นระบบที่เหมาะสมที่สุด เพราะ รัฐไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเสี่ยง และเป็นการดึงดูดต่างชาติมาลงทุน เกิดการใช้จ่าย จ้างงาน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังมีการนำเข้าและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่คนไทย โดยมีเพียงเงื่อนไขสำคัญคือ รัฐบาล ภาครัฐ ดูแลควบคุมบริษัทที่ได้สัมปทานให้ดำเนินการอย่างถูกต้อง

ส่วนการสำรวจปริมาณปิโตรเลียมสำรองในการเปิดสัมปทานรอบต่อไป กองเชื้อเพลิงธรรมชาติในช่วงนั้นได้ว่าจ้างบริษัทสำรวจรวมข้อมูลจากบริษัทต่าง ๆ ที่ได้สัมปทาน ซึ่งเบื้องต้นพบว่าปริมาณสำรองปิโตรเลียมของไทยนั้นมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นแหล่งก๊าซมากกว่าน้ำมัน อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ หากเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ กระตุ้นให้มีการค้นหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ ๆ ก็อาจจะพบปริมาณสำรองที่มากขึ้น

ทั้งนี้ ต่าง ๆ เหล่านี้ก็น่าจะบ่งชี้ว่า... "พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514" มิใช่กฎหมายที่กำเนิดจากการกะเกณฑ์โดยต่างชาติ มิใช่ใบเบิกทางให้ต่างชาติเข้ามาปล้นทรัพยากรหรือผลประโยชน์ในประเทศไทย เป็น พ.ร.บ.ที่ตัดสายสะดือทำคลอดโดยคนไทย เพื่อผลประโยชน์ไทย แล้วผ่านการแก้ไขจนทันสมัย...
เป็น ’กติกาสากล“ ที่ยอมรับกันทั่วโลก!!.

ที่มา เดลินิวส์

โยงทักษิณกับสัมปทานพลังงานไทยสุดเพ้อเจ้อ

ฮือฮา! บริษัทน้ำมันอาบู ดาบี นำโดย “CEO ทีมแมนฯซิตี” จับมือนักลงทุนสิงคโปร์  คว้าสิทธิ์พัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” กลางอ่าวไทยhttp://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000005299เปิดหลักฐานขายชาติ! แม้วเอื้อ บ.เพื่อนในอาบูดาบี ฮุบแหล่งน้ำมันอ่าวไทยhttp://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000005429สัมปทานปิโตรเลียมไทย บนอาคารชินวัตร!http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?newsid=9570000006998

มีหลายประเด็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่ในบทความนี้ จะขอนำข้อเท็จจริง หลักการ การให้สัมปทาน ที่มาที่ไป และภาพการลงทุน ของ แหล่งนงเยาว์ มาแสดงไว้ให้พิจารณา พอสังเขป ว่าบริษัทที่จะมาฮุบนั้น ยังมีความเสี่ยงอยู่มากน้อยแค่ไหน เข้ามาเอาประโยชน์ฝ่ายเดียว หรือ ทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ไปด้วย



ข้อเท็จจริงอีกด้าน ของแหล่งนงเยาว์

การให้สัมปทานปิโตรเลียม เพื่อเปิดโอกาสให้ บริษัทน้ำมันทั้งไทยและต่างชาติ ที่มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนสำรวจหาปิโตรเลียมในประเทศไทย โดยแบกรับความเสี่ยงฝ่ายเดียว ตามกฎ กติกา ภายใต้ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม 2514 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2532 (Thailand III) บริษัทที่จะเข้ามารับสัมปทานได้ต้องมีคุณสมบัติและผ่านขั้นตอนการประมูลเนื้องาน คือ เสนอปริมาณงานสำรวจและเงินลงทุนที่จะใช้ บริษัทไหนเสนอมามากกว่าอย่างมีเหตุผล จะได้รับการคัดเลือก ออกสัมปทานให้ ไม่ได้วัดกันที่ความสวยความงาม ดังที่เป็นข่าวในบทความตามลิงค์ข้างต้น

เมื่อได้รับสัมปทานไปแล้ว บริษัทมีหน้าที่ต้องทำตามงานที่ได้เสนอไว้ หรือ เรียกว่า ข้อผูกพัน และต้องนำเงินมาประกันตามจำนวนที่ได้เสนอไว้ กรณีไม่ทำตามข้อผูกพันเงินประกัน(ในช่วง 3 ปีแรก)ดังกล่าวจะตกเป็นของรัฐ... ในช่วงเริ่มต้นสำรวอจจะแบ่งเป็น 2 ช่วงๆละ 3 ปี และต่อได้อีก 3 ปี (3+3+3) ในทุกแปลงสำรวจที่ออกภายใต้ พรบ.ฉบับนี้ จะเหมือนกัน ดังเช่น แปลงที่ตกเป็นข่าว คือ แปลง G1/48 ,G2/48 ,G3/48 ,G6/48 ,G10/48 และ G11/48 ออกให้ผู้รับสัมปทานไปในรอบที่ 19 ส่วนแปลง L21/50 ,L52/50 และ L53/50 ออกให้ผู้รับสัมปทานไปในรอบที่ 20 แปลงดังกล่าวนี้อยู่ในช่วงของการสำรวจและได้มีการลงทุนไปหลายหมื่นล้านบาท ยังไม่พบปิโตรเลียม มีเพียง 2 แปลง คือ แปลง G1/48 และ G11/48 ที่กำลังเป็นข่าวว่ามีการสำรวจพบ และกำลังจะพัฒนาเป็นแหล่ง มโนราห์ และ นงเยาว์ ตามข่าว ส่วนแปลงอื่นๆ ถ้าหมดช่วงสำรวจยังสำรวจไม่พบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ ต้องคืนแปลงกลับมาให้รัฐ

ในช่วงระยะเวลาสำรวจนั้น การเปลี่ยนแปลงผู้ลงทุน หรือสัดส่วนผู้ร่วมลงทุน สามารถทำได้ เป็นเรื่องทางธุรกิจทั่วไป เป็นการระดมเงินทุนและกระจายความเสี่ยง หรือจะซื้อขาย ควบรวมกิจการกัน ก็ทำได้ภายใต้ข้อกฎหมาย แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบต่อ สิทธิและหน้าที่ของผู้รับสัมปทานตามสัญญาสัมปทาน และ จะต้องดำเนินงานสำรวจตามข้อผูกพันต่อไปตามที่ได้เสนอไว้ (การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ลงทุน ต้องผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานรัฐตามขั้นตอนของกฎหมาย) ดังนั้น การเข้ามาของบริษัทดังกล่าว ไม่ว่าจะเข้ามาในรัฐบาลไหน คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะเป็นเรื่องปกติถ้ามันเป็นไปตาม กฎระเบียบตามข้อกฎหมายที่สามารถทำได้ ถือว่าเข้ามาอย่างถูกต้องชอบธรรม

ตัวอย่าง ภาพการดำเนินงานที่ผ่านมาและแผนในอนาคต ของแปลง G11/48



การนำเสนอในทำนองว่า มีการเข้ามา ฮุบสัมปทานแหล่ง นงเยาว์ อาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดได้ว่า มีการเอื้อประโยชน์ หรือ รัฐขายหรือปล่อยให้มีการเข้ามาขุดสูบน้ำมันดิบออกไป แต่ในความเป็นจริง มันเป็นเรื่องทางธุรกิจตามที่ได้กล่าวแล้ว และการได้มาของแปลงดังกล่าวมีขั้นตอนมาโดยลำดับ ผ่านมา 7 ปี แล้ว มีการลงทุนสำรวจไปแล้วมากมาย คือ สำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน แบบ 2 และ 3 มิติ ในช่วงปี 50-52 เจาะหลุมสำรวจไป 4 หลุม และเจาะหลุมประเมินผลอีก 5 หลุม ในช่วงปี 52-53 รวมใช้เวลาสำรวจไป 6 ปี กว่าจะมั่นใจ และมีข้อมูลมากพอในการขออนุมัติเป็นพื้นที่ผลิต นงเยาว์ และ ในสถานการณ์ปัจจุบัน แปลง G11/48 นี้ ยังไม่สามารถพัฒนาจนผลิตปิโตรเลียมได้สำเร็จ ยังขาดทุนจากเงินลงทุนที่ได้ทำการสำรวจไปแล้วมากกว่า 3,000 ล้านบาท(สิ้นปี 55) และยังต้องใช้เงินลงทุนอีกจำนวนมาก เพื่อการก่อสร้างติดตั้ง แท่นผลิต แท่นหลุมผลิต และ การเจาะหลุมผลิต อีกไม่น้อยกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท กว่าจะได้ผลิตน้ำมันดิบหยดแรกขึ้นมาต้องขาดทุนไปไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านบาท และจะผลิตได้มากน้อยแค่ไหน ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ชัดเจน แม้ข้อมูลในขณะนี้จะแสดงไว้ว่า จะสามารถผลิตได้สูงสุดวันละ 6,400 บาร์เรล ก็ตาม ดังนั้น การเข้ามาของบริษัท...ตามที่เป็นข่าว ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย และต้องแบกรับภาระการขาดทุนที่ได้ลงทุนไปแล้ว อีกทั้งยังต้องลงทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาแหล่งดังกล่าวให้ได้ตามแผนอีกด้วย การเข้ามาดังกล่าวนี้ จะเป็นผลดีหรือผลเสียต่อบริษัทก็ต้องมองกันยาวๆ อีกหลายปีครับ แต่ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับคือ มีการลงทุนสำรวจต่อเนื่องและถ้าสามารถพัฒนาแหล่งดังกล่าวได้ตามแผน จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบ และรัฐจะมีรายได้ จากแปลงดังกล่าวตามระบบการจัดเก็บตามกฎหมายปัจจุบัน(Thailand III) อีกด้วย

ผลการดำเนินงานของแปลงที่ตกเป็นข่าว



ข้อมูลการสำรวจและการผลิตปิโตรเลียมของบริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียมในประเทศไทย

บริษัท Mubadala Petroleum (Thailand) เป็นบริษัทในเครือของ บ.Mubalala Petroleum ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE โดย Mubadala Petroleum เป็นบริษัทในเครือ 100% ของบริษัท Mubadala Development Company (MDC) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งโดยรัฐบาลแห่งรัฐของ Abu Dhabi มีมกุฎราชกุมาร ของ Abu Dhabi เป็นประธานบริหาร 




บริษัท Mubadala Development Company(MDC) ทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งธุรกิจเกี่ยวกับด้านการบิน (Aerospace) ด้านการเทคโนโลยีการสื่อสาร(Communication Technology) ด้านสุขภาพ(Health Care) ด้านอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) รวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas) ภายใต้บริษัท Mubadala Petroleum)

บริษัท Mubadala Petroleum มิได้มีธุรกิจด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังได้รับสัมปทานแหล่งน้ำมันแหล่งก๊าซในอีกหลายประเทศ เช่นใน การ์ตา โอมาน บาห์เรน อินโดนีเซีย และประเทศไทย นอกจากนั้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ Mubadala Petroleum เริ่มเข้ามาซื้อกิจการทั้งหมดของ บริษัท Pearl Energy ที่เป็นสัญชาติอเมริกันตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ จึงได้สิทธิสัมปทานปิโตรเลียมในไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และ มาเลเซีย ของบริษัทมาด้วย

สำหรับในไทย บริษัทลูกของบริษัท Mubadala Petroleum ได้รับสัมปทานปิโตรเลียมโดยถูกต้องตามกฎหมายหลายแปลง รวมถึงแปลงที่ซื้อมาจากบริษัท Harrods Energy คือแปลง B5/27 ในอ่าวไทย ซึ่ง Pearl Energy เป็นผู้สำรวจพบจนสามารถพัฒนาแหล่งน้ำมันดิบขนาดเล็กชื่อว่าแหล่งจัสมินและบานเย็น กำลังผลิตเพียงราว 15,000 - 17,000 บาร์เรล/วัน จากแหล่งเล็กๆคือ จัสมินและบานเย็นดังกล่าว ทำให้บริษัท Mubadala มีความเชื่อมั่นมาขอสัมปทานเพิ่มเติมอีก โดยนำเงินจากรายได้ของสองแหล่งนั้นกลับมาลงทุนเพิ่มเติมในไทยอีกเป็นหลายพันหลายหมื่นล้านบาท จนกระทั่งพบแหล่งน้ำมันเล็กๆ อีก 2 แหล่งที่กำลังจะผลิตในเร็วๆนี้ คือแหล่งมโนราห์ และแหล่งนงเยาว์

เพิร์ลออยได้ขาย 2 แปลงให้แก่บริษัทคาร์นาวอน และบริษัทตัวเองได้ถูกขายให้กับบริษัทมูบาดาลา

ผลปรากฏว่าตั้งแต่ต้นปี 2557 ทั้ง 5 แปลงสัมปทานได้ถูกคืนให้รัฐบาลหมดแล้ว เพราะผู้ถือสัมปทานลงทุนสำรวจไปแล้วไม่พบปิโตรเลียมที่จะผลิตขึ้นมาขายได้ แม้จะยื้อเวลาต่อถึง 9 ปีก็ได้ แต่เขาตัดสินใจว่าไม่คุ้มที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นอีก เรียกว่าขาดทุนจนเลิกล้มโครงการไปแล้ว

มูบาดาลา อยู่บนตึกชินวัตร 3 แล้วยังไง?
ก็เป็นการเช่าพื้นที่เท่านั้น และก็มีหลายบริษัทด้วยที่อยู่ในตึก และ อยู่ใกล้หน่วยงานราชการที่ต้องติดต่อ