Showing posts with label ท่อก๊าซ. Show all posts
Showing posts with label ท่อก๊าซ. Show all posts

กลโกง 8 ขั้น ที่โคตรมั่ว พูดแบบมั่ว ก็เชื่อแบบมั่ว

บทวิเคราะห์ที่แสนมั่ว ก็จะได้เนื้อหาแบบมั่วๆ



ปตท. ได้สรุปข้อมูลชี้แจงข่าวลือ กลโกง 8 ขั้น ที่มีการส่งต่อกันในโซเชียลมีเดียที่ระบุหัวข้อว่า กลโกง 8 ขั้นของ ปตท. โดย ปตท. ได้สรุปข้อเท็จจริงตอบคำถาม 8 ข้อ ดังนี้

ข้อที่ 1 ประเทศไทยมีการกลั่นน้ำมันรวมประมาณวันละ 1 ล้านบาร์เรล แบ่งเป็นน้ำมันในประเทศ 20% อีก 80% ที่เหลือนำเข้าจากต่างประเทศ การคำนวณราคาจึงคำนวณตามต้นทุนจริง

ข้อที่ 2 ข้อโจมตีที่ว่า ปตท. มีกำไรหน้าโรงกลั่นสูงถึงลิตรละ 5-6 บาทนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะตัวเลขดังกล่าว อ้างอิงตามส่วนต่างค่าการกลั่น (Refining Margin) ไม่ใช่ตัวกำไร แต่เป็นตัวเลขเปรียบเทียบราคาขายกับราคาต้นทุนหน้าโรงกลั่น ที่ยังไม่นับรวมต้นทุนอื่นๆ ที่ ปตท. ต้องจ่ายอีก เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าตอบแทนผู้บริหาร และค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักร เป็นต้น

ข้อที่ 3 เป็นข้อกล่าวหาที่เป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกองทุนของรัฐ จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ปตท.และบริษัทผู้ค้าน้ำมันอื่นๆ มีหน้าที่เก็บเงินจากลูกค้าแล้วนำส่งเข้ารัฐ ไม่ได้นำไปเก็บไว้เป็นรายได้ และกำไรของบริษัทเอกชนแต่อย่างใด

ข้อที่ 4 เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะปัจจุบันราคาแอลพีจี ในตลาดโลกอยู่ที่ตันละประมาณ 800 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ในประเทศไทยภาครัฐตรึงราคาไว้ที่ตันละ 333 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น

ข้อที่ 5 ประเทศไทยขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในประเทศขึ้นมาได้ประมาณ 75-80% ของความต้องการใช้งาน อีก 20-25% จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ปตท.มิได้ตั้งเป้านำเข้าก๊าซจากต่างประเทศ เพื่อคิดราคาแพงจากคนไทย

ข้อที่ 6 เป็นข้อโจมตีที่เป็นความเท็จ เพราะน้ำมันเป็นสิ่งที่ทั่วโลกต้องการ จึงย่อมไม่มีเจ้าของน้ำมันรายใด ที่จะยอมให้ราคาคงที่ไปตลอด 10 ปี อย่างแน่นอน ตัวอย่าง คือ การรวมตัวกันของกลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อกำหนดราคาน้ำมันสูง ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี

ข้อที่ 7 การนำเงินไปลงทุนในเกาะเคย์แมน เพื่อการฟอกเงิน ไม่เป็นจริง เพราะหากมีจริง จะต้องมีการตรวจสอบพบอย่างแน่นอน เนื่องจากทุกปี ปตท. ถูกตรวจสอบอย่างน้อยจาก 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และถูกตรวจสอบโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

ข้อที่ 8 ค่าผ่านท่อก๊าซ ถูกกำหนดโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกกูเลเตอร์) มิใช่ ปตท. ทั้งนี้ ปตท.เห็นว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ว่าจ้างให้มีการเขียนข่าวลือโจมตีในลักษณะนี้ ก็ถือเป็นการว่าจ้างที่ไม่คุ้มค่า เพราะเป็นข้อมูลมั่ว ไม่มีที่มาที่ไป และยั่วยุให้คนไทยแตกแยกกันเอง ด้วยการแพร่ความเท็จ.

ขอบคุณข้อมูลจากไทยรัฐ "ปตท." งัดข้อมูลสยบความเท็จ 8 ข้อ

วิเคราะห์มั่วๆ 5ปี เนื้อหามั่วๆ ก็ได้แบบมั่วๆ เรื่องพลังงาน

เห็นมีคนแชร์มาจากทาง LINE เต็มไปหมด โดยเนื้อหาคร่าวๆ โทษนั่น โทษนี่ โดยไม่มองบริบท เรื่องพลังงาน หรือ เนื้อหาสาระว่าแท้จริงเป็นอย่างไร ก็คงต้องเอามาแก้กันไปว่ามั่วขนาดไหน ขอตัดตอนมาในส่วนเรื่องพลังงานเท่านั้น

 จากดร.อาทิตย์. อุไรรัตน์

ฟังแล้วอย่าเชื่อร้อยเปอร์เซนต์ เอาไปช่วยกันคิด วิจารณ์ วิจัยวิเคราะห์ เจาะลึก ให้ความจริงประจักษ์
เมื่อประจักษ์แล้ว. อย่าเมินเฉย. ชวยกันแก้วิบัติของชาตื

" 5 ปีแห่งความทุกข์ระทมของประชาชน
5 ปีแห่งความหายนะของชาติบ้านเมือง



บอกได้คำเดียวว่า หนักกว่านักการเมืองอาชีพ ชาตินี้คงจะหาผู้นำที่สร้างความบรรลัยให้ชาติบ้านเมืองมากเท่าลุงคนนี้ไม่มีอีกแล้ว โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัว/นายทุน น่าเกลียดจริงๆ

"มาลองอ่านกันว่า การตั้งคำถามมีคำตอบคำตอบที่ตอบวนกันมา 5ปี" 

> เดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหินสกปรกหลายจังหวัดเอื้อประโยชน์นายทุนเหมืองถ่านหิน ทั้งที่ทั่วโลกทยอยยกเลิก เพราะมันสกปรกมีมลพิษอันตราย

คนที่โพสต์คงไม่ทราบว่า ทั่วทั้งโลกปิดบางส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินหมดอายุ และ มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วยซ้ำ คนโพสต์ทราบหรือไม่

> ยัดเยียดการขุดเจาะปิโตรเลียมที่บ้านนามูล ดูนสาด จ.ขอนแก่น เอื้อนายทุนบริษัทน้ำมัน มีชาวบ้านคัดค้าน ก็ส่งฝ่ายปกครองไปข่มขู่ให้ยินยอม

การขุดเจาะปิโตรเลียมที่บ้านนามูล ดูนสาด  ผู้รับสัมปทานจะต้องปฏิบัติงานภายใต้กฎหมายปิโตรเลียมทุกขั้นตอน มีการรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งได้รับการอนุมัติ EIA  โดยช่วงก่อนการขุดเจาะ บริษัทได้มีการขนย้ายอุปกรณ์เข้าพื้นที่ ซึ่งได้รับความสะดวกจากฝ่ายปกครอง (กอ.รมน.) เข้าพื้นที่เพื่อดูแลอำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อย รวมถึงการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนและบริษัทผู้รับสัมปทานในการขนย้ายอุปกรณ์เครื่องจักร มิได้เป็นการข่มขู่ประชาชนในพื้นที่ และเอื้อบริษัทตามที่มีบุคคลภายนอกให้ข้อมูลเชิงลบและปลุกปั่นแต่อย่างใด 

> เชฟรอนโกงภาษี 3,000 ล้าน แทนที่จะไล่กลับอเมริกา กลับใจดีต่อสัมปทานให้แหล่งทานตะวันในอ่าวไทยของเชฟรอนไปอีก 10 ปี ที่สุดอุบาทว์คือ คิดค่าลงนามต่ออายุสัมปทานแค่ 15 ล้านบาท และส่วนแบ่งจากการขายเพียง 1% จากมูลค่าปิโตรเลียมของแหล่งนี้ 3-5 แสนล้านบาท(แหล่งนี้ขุดน้ำมันดิบมูลค่า 40 ล้านบาท/วัน ขุดวันเดียวก็ได้เงินมากกว่าที่จ่ายค่าลงนามต่อสัญญากับรัฐกว่าเท่าตัวแล้ว และแหล่งนี้ยังมีก๊าซธรรมชาติอีกมาก)

- กรณีภาษีเชฟรอน เกิดจากปัญหาการตีความข้อกฎหมายกรณีการคืนภาษีภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ของบริษัทเชฟรอน  ซึ่งบริษัทฯ ได้ทำการจ่ายภาษีจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อใช้บริเวณอ่าวไทยในระหว่างปี พ.ศ. 2555-2559 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยช่วงที่ผ่านมาภายหลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ทางบริษัทฯ ได้ให้ความร่วมมือและทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการตรวจสอบยอดภาษีที่ต้องชำระให้ถูกต้องแล้ว
- กรณีการต่ออายุสัมปทานแหล่งทานตะวันและแหล่งใกล้เคียงในแปลงสำรวจหมายเลข B8/32 ซึ่งเป็นแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทย เป็นการต่อระยะเวลาตามกฎหมายปิโตรเลียม 
- ส่วนโบนัสลงนามและโบนัสการผลิต เป็นเพียงส่วนเพิ่มเติมที่รัฐจะได้นอกเหนือไปจากรายได้ที่รัฐจะได้รับต่อไปอีก     10ปี นอกจากการจัดเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียม ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ(หากมีกำไรเกินปกติ) และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ซึ่งจากการวิเคราห์ทางเศรษฐศาสตร์ พบว่า จะมีสัดส่วนรายได้รัฐต่อรายได้สุทธิของผู้รับสัมปทานเป็นอัตราส่วนร้อยละ 71:29
-  การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นการลงทุนที่สูงและมีความเสี่ยงสูง ผู้รับสัมปทานยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการลงทุน และจ่ายค่าภาคหลวง   ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ(ถ้ามีกำไรเกิน) และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม อีกด้วย



> เชฟรอนเจตนาสำแดงใบขนน้ำมันปลอดภาษีเท็จซ้ำซาก ผิดกฏหมายอาญาแผ่นดิน ก็อุ้ม ไม่เอาผิด และยังให้ร่วมประมูลสัมปทาน

- การเข้าร่วมประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ และบงกช เปิดรับผู้ที่เข้าร่วมประมูลเป็นการทั่วไปอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกประเทศ   มิได้จำกัดบริษัทรายใดรายหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามในขั้นแรก กระทรวงพลังงาน ได้มีการกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้เข้าร่วมประมูลไว้แล้ว ทั้งคุณสมบัติด้านการเงินและการเป็นผู้ดำเนินงานการผลิตปิโตรเลียมในทะเล  จากการพิจารณาและตรวจสอบข้อมูล บริษัทเชฟรอน มีคุณสมบัติตามที่กระทรวงพลังงานกำหนดในเอกสารการยื่นขอ  
- ในส่วนการขนน้ำมันปลอดภาษี  เป็นน้ำมันที่กลั่นแล้วมิได้เกี่ยวข้องกับกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งภายหลังเชฟรอนได้จ่ายภาษีที่เกิดจากการตีความกฎหมายตามที่กฤษฎีกาได้ตีความเอาไว้เรียบร้อยแล้ว 


> ส่วนกรณีนี้ยิ่งหนัก 7 บริษัทน้ำมันทำผิดกฏหมาย ลักลอบขุดน้ำมันในที่ส.ป.ก. ศาลปกครองจึงมีคำสั่งให้เลิกขุด แต่นอกจากคสช.จะไม่เอาผิดแล้ว ยังใช้ ม.44 ล้างผิดให้ และแก้กฏหมายส.ป.ก.อนุญาตให้เอกชนขุดน้ำมันในที่ส.ป.ก.ต่อไปได้ ขนาดคำสั่งศาลยังไร้ความหมาย แล้วบ้านนี้เมืองนี้จะอยู่กันอย่างไร

-  กรณีศาลปกครองสูงสุดมีการตัดสินว่าบริษัทผู้รับสัมปทานมีความผิดฐานดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ ส.ป.ก.  ที่ได้รับการอนุมัติแล้วนั้น (ส.ป.ก. ไม่มีอำนาจในการอนุญาตให้ทำกิจกรรมอื่นนอกจากการเกษตร)  จึง เป็นการดำเนินงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  
- ที่ผ่านมาบริษัทผู้ได้รับสัมปทานได้ดำเนินการยื่นขอและดำเนินการตามแนวทางของข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งกรณีดังกล่าวภาครัฐ โดยกระทรวงพลังงานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้หารือร่วมกันเพื่อหาทางออกในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ใต้ผืนดินของประเทศ และการใช้ที่ ส.ป.ก.  เพื่อประโยชน์จากกิจกรรมอย่างอื่น   จึงมีความเห็นร่วมกันว่าควรนำเสนอ คสช. เพื่อพิจารณาใช้ ม. 44 เพื่อหาทางออกของปัญหาดังกล่าว โดยกระทบต่อการใช้พื้นที่ทางการเกษตรของเกษตรกรให้น้อยที่สุดโดยมีค่าทดแทนให้เกษตรกรและ ส.ป.ก. ที่เหมาะสมและคืนพื้นที่เมื่อดำเนินกิจกรรมแล้วเสร็จ นอกจากนั้นยังเพิ่มแนวทางการให้  ส.ป.ก. ในการพิจารณาแก้ข้อกฎหมายเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่ เพื่อทำกิจกรรมอื่นได้นอกจากเกษตรกรรมในอนาคตซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์ทรัพยากรของประเทศในลักษณะบูรณาการก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด


> มีก๊าซ มีน้ำมันเต็มแผ่นดิน แทนที่จะขุดเอง เพื่อให้รายได้เข้ารัฐเต็มๆ ไม่ต้องไปแบ่งให้ใคร ก็ไปแจกสัมปทานให้ต่างชาติรวย

- จากข้อมูลสถิติ การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2514 ภายใต้ระบบสัมปทาน พบน้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ ภายในแอ่งตะกอนที่กระจายตัวอยู่ในแต่ละภูมิภาค โดย จะพบน้ำมันดิบในบริเวณภาคเหนือ (แหล่งฝาง)  ภาคกลางและอ่าวไทย พบก๊าซธรรมชาติ บริเวณภาคอีสานและอ่าวไทย (ตามภาพ) มิได้มีก๊าซ มีน้ำมันเต็มแผ่นดิน 
- ระบบสัมปทาน เป็นการให้สิทธิผู้รับสัมปทานไปสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รัฐมีการออกแบบการจัดเก็บรายได้จากการผลิตปิโตรเลียม ซึ่งระบบสัมปทานถูกออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพแหล่งปิโตรเลียมของประเทศไทย  เพื่อให้เกิดการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในประเทศ และจูงใจให้บริษัทมาเสี่ยงลงทุนเพราะการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นการลงทุนที่สูงและมีความเสี่ยงสูง 
- หากภาครัฐขุดเองต้องมีเงินมากพอที่จะรับความเสี่ยงในการสูญเสียเงินของประเทศ  หากขุดเจาะไม่พบปิโตรเลียม 


> แจกสัมปทานปิโตรเลียมโดยเลือกระบบที่รัฐเสียประโยชน์ ระบบจ้างผลิตที่รัฐได้ประโยชน์ 80-90% ไม่เอา แต่เลือกระบบ PSC(จำแลง) ที่ได้ส่วนแบ่งแค่ 30%

- ระบบสัมปทาน นับตั้งแต่มีการให้สัมปทานตั้งแต่ปี 2514 และมีการปรับปรุงกฎหมายปิโตรเลียม (แก้ไข พ.ศ. 2532) เพื่อให้รัฐได้รับรายได้มากขึ้นและให้ผู้รับสัมปทานสามารถพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมขนาดเล็กได้ รวมทั้ง ปรับปรุงให้รัฐมีทางเลือกในการบริหารจัดการระบบการจัดเก็บรายได้รัฐ (เพิ่มระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต และสัญญาจ้างบริการ แก้ไขปี พ.ศ. 2560) ในระบบสัมปทาน รัฐมีรายได้รวมมากกว่าผู้รับสัมปทาน ถึง ร้อยละ 60:40

> แก้ไขพรบ.ปิโตรเลียมให้ไทยตกเป็นทาสบริษัทน้ำมันต่างชาติหนักข้อขึ้นกว่าเดิม

คำว่าตกเป็นทาสบริษัทน้ำมันต่างชาตินี่คิดยังไงหรอครับ ทุกวันนี้คนไทยทำงานเยอะแยะ
- การแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เพื่อกําหนดให้การให้สิทธิสํารวจและผลิตปิโตรเลียมมีทางเลือกให้รัฐสามารถพิจารณานําระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตหรือระบบสัญญาจ้างบริการมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมนอกเหนือไปจากการพิจารณาให้สัมปทานปิโตรเลียมภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งแก้ไขบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับประโยชน์หรือสิทธิของผู้รับสัมปทานและบทบัญญัติเกี่ยวกับค่าภาคหลวงให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น มิได้เอื้อต่อบริษัทน้ำมันต่างชาติ
- การประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ และบงกช ที่ผ่านมา บริษัทคนไทย (บริษัท ปตท.สผ. เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย ได้เป็นผู้ชนะทั้งสองแหล่งต้องมีคนทำงานด้วย 80% ในปีแรก อย่างน้อย 90% ในอีกปีที่ 5 ด้วย

> แก้ไขพรบ.ปิโตรเลียม ลดการจัดเก็บภาษีรายได้จากบริษัทน้ำมันผู้สัมปทาน จากเดิมเก็บอยู่ 50% ก็ลดเหลือ 20%

- การแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ให้มีระบบการจัดเก็บรายได้เพิ่มเติม ให้มีระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต และสัญญาจ้างบริการ   ระบบกลไกการจัดเก็บจึงแตกต่างกันกับระบบสัมปทาน กล่าวคือ ในระบบสัมปทาน ผู้รับสัมปทานต้องจ่ายค่าภาคหลวงร้อยละ 5-15  ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ(ถ้ามีกำไรเกินควร ร้อยละ 0-75) และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมร้อยละ 50    ในส่วนของระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต ผู้รับสัญญาจะต้องจ่ายค่าภาคหลวง ร้อยละ 10 ปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรร้อยละ 50 และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมร้อยละ 20    ความแตกต่างของการจัดเก็บภาษี เกิดจากความแตกต่างของระบบการจัดเก็บรายได้ที่แตกต่างกัน  แต่ไม่ว่าจะจัดเก็บรายได้จากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในระบบใด รัฐจะได้มากกว่ารร้อยละ 50 ทั้งสองระบบ




> ก่อนคสช.เข้ามา เก็บภาษีรายได้จากผู้สัมปทานปิโตรเลียมได้ราว 1 แสนล้านบาท/ปี ปัจจุบันเก็บแค่ไม่ถึง 4 หมื่นล้านบาท/ปี

- แต่งตั้ง คสช. เมื่อ 22 พ.ค. 57
- ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เริ่มปรับตัวลดลง ประมาณเดือน ก.ค. 57 (2014) จาก 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จนถึงระดับต่ำสุดในเดือน ม.ค. 59 ประมาณ 26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  ดังนั้นรายได้ที่รัฐจะได้รับขึ้นอยู่กับการขึ้นลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับการแต่งตั้ง คสช.


อ้างอิงราคาน้ำมันดิบดูไบ ย้อนหลัง 5 ปี  (https://www.indexmundi.com/commodities/?commodity=crude-oil-dubai&months=60)

- การจัดเก็บภาษีปิโตรเลียมรายปีที่ลดลง นอกจากปัจจัยในราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงแล้ว การจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียมรายปี ส่วนมาจะจัดเก็บในเดือน พ.ค. ของปีถัดไป  ดังนั้น หากในปี 2559 ราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับต่ำ (ช่วง 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ) จะสามารถจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในปี 2560  ลดลงตามไปด้วย ดังกราฟด้านล่าง




> ขูดรีดภาษีน้ำมันปชช. อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตกว่าทุกรัฐบาล

-*- ก็ท่องไว้เอาไปพัฒนาประเทศ เอาไปเป็นงบของกระทรวงต่างๆ อย่างกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับงบมากสุด

> ก่อนคสช.เข้ามา เก็บภาษีน้ำมันปชช.อยู่ราว 6 หมื่นล้านบาท/ปี ปัจจุบันเก็บ 2.2 แสนล้านบาท/ปี

น้ำมันคนใช้เยอะก่อนรัฐบาล คสช แน่ เพราะราคาน้ำมันลดลง คนก็ใช้มากขึ้น

> ขึ้นราคาก๊าซ LPG อย่างบ้าคลั่ง ขึ้นมากที่สุดกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านๆมาชนิดทิ้งไม่เห็นฝุ่น

การขึ้นราคา LPG คือการปรับโครงสร้าง เปิดเสรีให้เอกชนรายอื่นเข้ามาดำเนินกิจการ และที่สำคัญ รัฐบาลอื่นๆ มีการอุดหนุนราคา

> ขึ้นลงราคาน้ำมันไม่เป็นธรรมกับปชช. ตลาดโลกขึ้น น้ำมันไทยรีบขึ้นราคาตาม ตลาดโลกลดลง น้ำมันไทยไม่ค่อยจะลงตาม และหลายครั้งขึ้นราคาสวนทางตลาดโลกแบบหน้าด้านๆ และตอนขึ้น 50 สตางค์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนตอนลง 20-40 สตางค์เป็นส่วนใหญ่ ขึ้นลงลักษณะนี้จนปชช.ด่าจนหมดคำด่าไปแล้ว

ราคาน้ำมันเราอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งบางครั้งขึ้นมากกว่าลงด้วยซ้ำ และอย่าลืมว่าตอนขึ้น มันขึ้นแบบเขยิบแบบอั้น สะสมแล้วขึ้นทีเดียวไม่ได้ขึ้นเลยทันที แต่ลง ลงทันที ดังนั้นเวลาขึ้นจึงมากกว่าลง แบบนี้น้ำนมดิบราคาลง ทำไมเราไม่ได้กินนมกล่องที่ราคาถูกลงหล่ะ หรือแม้แต่ข้าวกระเพราที่ราคาถูกลงด้วยเวลาวัตถุดิบราคาลง

> แยกธุรกิจค้าน้ำมันออกจากปตท.ไปยกให้นายทุน

แยกธุรกิจน้ำมันเพื่อความคล่องตัว เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ รัฐห้ามทำธุรกิจแข่งกับเอกชน และที่สำคัญ ปตท. หรือที่เป็นรัฐวิสาหกิจก็ยังถือหุ้นใหญ่สุด

> ขายหุ้นโรงกลั่นบางจากที่ปตท.ถือหุ้นอยู่ให้กลุ่มทุน
> ขายหุ้นโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม(SPRC)ที่ปตท.ถือหุ้นอยู่ให้นายทุน

ด่าเค้าผูกขาดไม่ได้ใช่หรอ ก็ขายหุ้นออกยังไงหล่ะ บางจากก็ขายให้กลุ่มทุนที่ว่าคือ กองทุนรวมวายุภักษ์ กับ สำนักงานประกันสังคม นะครับ นี่กลุ่มทุนหรอครับ ส่วน SRPC ก็ขายให้นักลงทุนรายย่อยทั่วไป

> ปตท.โกงท่อก๊าซ ก็ไม่ยอมทวงคืน

คืนไปเป็นชาติ ตามคำตัดสินของศาล แถมยังจำหน่ายคดีออกจากสารบบไปแล้ว

> แยกท่อก๊าซออกจากปตท.ไปให้นายทุน

ช้าก่อนนะโยม เค้าแยกท่อออกมา แล้วเอาไปเปิดเป็น TPA (Third Party Access) เปิดเสรีกว่าเดิมใครอยากใช้ก็มาขออนุญาตได้ แล้วสรุปตกลงอยากให้ ท่อก๊าซอยู่กับ ปตท อีกใช่หรือไม่

> อุ้มธุรกิจปิโตรเคมีของปตท. ด้วยการยกเลิกเก็บเงินภาคปิโตรเคมีเข้ากองทุนน้ำมัน ทั้งที่เดิมเขาก็จ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันน้อยกว่าประชาชนอยู่แล้ว ทำให้ทุกวันนี้ภาคปิโตรเคมีไม่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันสักบาท ทั้งที่ใช้ก๊าซ LPG มากกว่าใคร ใช้มากกว่าภาคครัวเรือนที่คนไทยใช้หุงต้มกันทั้งประเทศอีก

การจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันของภาคปิโตรเคมี ทุกภาคส่วนที่ต้องใช้ผลิตผลของก๊าซจากอ่าวไทยนั้น ไม่มีการจัดเก็บเพราะเนื่องจากไม่ได้ใช้เป็นเชื้อเพลิง และ ถ้าหากเก็บกองทุนฯ เพิ่มจะให้ต้นทุนแข่งขันกับปิโตรเคมีกับต่างประเทศไม่ได้และจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากปิโตรเคมีแพงขึ้นด้วย เช่น ยารักษาโรค เสื้อผ้าต่างๆ และจะบอกว่าการบริหารจัดการทรัพยากรที่สำคัญคือ การต่อยอดจากวัตถุดิบที่มีอยู่ทำอย่างให้เกิดประโยชน์มากสุดด้วย

จบเรื่องท่อ ปตท. อีกครั้ง


สรุปสาระสำคัญของเนื้อหาทั้งหมด

- 2551 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งว่าดำเนินการครบถ้วนแล้ว
- 2552 สตง. ระบุในหนังสือว่า คำสั่งศาลฯ ถือเป็นที่ยุติ ซึ่งศาลฯ ได้ยืนยันตอบ สตง. แล้วว่าคืนท่อครบ - 2553 ครม. รับทราบการดำเนินการตามมติที่ให้หน่วยงานเกี่ยวข้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลฯ
- 2552 – 2559 ศาลฯ ยกคำร้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และผู้ร้องอื่นๆ พร้อมทั้งจำหน่ายคดีออกจากระบบ
- 2552 – 2559 สตง. เป็นผู้สอบบัญชี ได้รับรองงบการเงินของ ปตท. ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่มีเงื่อนไขหรือหมายเหตุเรื่องคืนท่อไม่ครบ
- 2560 ศาลฯ ระบุว่า ความเห็น คตง. ไม่ผูกพันศาลฯ
- 2560 นายศรีราชา แล น.ส. รสนา ถูกตัดสินลงโทษตักเตือน กรณีละเมิดอำนาจศาลฯ ในการวิจารณ์คำสั่งเรื่องคืนท่อ ซึ่งศาลฯ ระบุคำสั่งศาลว่าในปี 2551 ได้พิจารณาภาพรวมทั้งหมดในการปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว
การที่มีการหยิบยก มาตรา 157 มาเพื่อจะบังคับให้รัฐบาลและปตท.ทำตามมติคตง. แทนคำพิพากษา และคำวินิจฉัย จึงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้
ที่มา PTT INSIGHT จบเรื่องท่อ ปตท.

อ่านบทความ เปิดทุกคำพิพากษา! ปตท. ส่งมอบท่อก๊าซธรรมชาติครบหรือไม่
เนื้อหาสรุปสาระสำคัญจากภาพ จบเรื่องท่อ ปตท.

เรื่องท่อก๊าซฯ จะฟ้องกี่ครั้งผลก็เหมือนเดิม



เรื่องท่อก๊าซฯ จะฟ้องกี่ครั้งผลก็เหมือนเดิม ศาลระบุชัด “หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ไม่อาจนำมาฟ้องคดีได้อีก



ข้อความด้านบนเป็นส่วนหนึ่งในคำสั่งล่าสุดของศาลปกครอง ในคดีหมายเลขดำเลขที่ ๖๐๓/๒๕๖๐ คดีหมายเลขแดงที่ ๗๖๘/๒๕๖๐ สืบเนื่องจากกรณีล่าสุด ที่มีผู้ฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลปกครองอีกครั้ง

โดยในคำฟ้องมีการระบุให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งรวม ๗ ข้อ ซึ่งคดีนี้มีสองประเด็นสำคัญที่ศาลจะต้องพิจารณาคือ คำฟ้องของผู้ฟ้องคดีเป็นคำฟ้องที่ศาลสามารถรับไว้พิจารณาได้หรือไม่

โดยศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้เนื้อหาของคดีจะอยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียหรือประโยชน์โดยตรง อีกทั้งไม่สามารถแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ว่า การโอนคืนท่อก๊าซธรรมชาติของ บริษัท ปตท.ให้แก่กระทรวงการคลัง ซึ่งผู้ฟ้องเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องนั้น ก่อให้ความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีโดยตรงและเป็นการเฉพาะตัวอย่างไร

นอกจากนั้นที่สำคัญยังระบุว่า


“การที่ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำการโอนคืนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน(ท่อก๊าซฯ)จากบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ให้แก่กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ. ๔๗/๒๕๔๙ คดีหมายแดงที่ ฟ. ๓๕/๒๕๕๐ ยังมีลักษณะเป็นการร้องขอที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคดีตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าวซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีการสั่งคำร้องในส่วนของการบังคับคดีไว้แล้วว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องเพื่อขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดีนั้นได้ ศาลจึงไม่อาจรับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณาได้”


จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ 


อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่าคดีนี้เป็นคดีล่าสุดในประเด็นเรื่องเรื่องท่อก๊าซธรรมชาติที่มีการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง แต่อาจไม่ใช่คดีสุดท้าย เพราะจากข่าวที่ปรากฏ จะเห็นว่ายังคงมีความพยามอย่างต่อเนื่องในการทวงคืนท่อก๊าซฯจากบุคคลบางกลุ่ม แต่ไม่ว่าจะเป็นคดีใด ถ้าคำขอในคดีมีเนื้อหาเป็นการขอให้บังคับในตัวท่อก๊าซธรรมชาติ ศาลปกครองจะไม่สามารถรับไว้พิจารณาได้ ดังที่เคยมีคำสั่งหรือคำพิพากษาไปหลายครั้งแล้วในก่อนหน้านี้  เนื่องจากการพิจาณาในเรื่องประเด็นอย่างเดียวกันกับประเด็นที่เคยมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดไปแล้วนั้น มันเป็นกรณีต้องห้ามตามกฎหมายไม่สามารถนำมาฟ้องร้องกันได้อีก ซึ่งประเด็นเรื่องท่อก๊าซธรรมชาติ ศาลปกครองสูงสุดได้เคยมีการสั่งคำร้องในส่วนของการบังคับคดีไว้ชัดเจนแล้วว่า

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”






ตักเตือนสถานเบา! รสนาและพวก เหตุละเมิดอำนาจศาล ระบุชัดไม่ใช่การวิจารณ์โดยสุจริต

ตักเตือนสถานเบา! รสนาและพวก เหตุละเมิดอำนาจศาล ระบุชัดไม่ใช่การวิจารณ์โดยสุจริต



อย่างที่ทราบกัน กรณีท่อก๊าซธรรมชาติของ ปตท. คนที่ตามข่าวจะรู้ว่ามีความพยายามในการทวงคืน จากคนบางกลุ่มทั้งจาก NGO และจากฝั่งองค์กรอิสระบางแห่ง โดยมีการแสดงความเห็นที่ไม่ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลก่อนหน้านี้ ซึ่งเนื้อหาบางช่วงบางตอนก็มีการวิจารณ์ที่เข้าข่ายเป็นการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีข่าวที่ศาลปกครองสูงสุดมีหมายเรียก น.ส. รสนา โตสิตระกูล และนายศรีราชา วงศารยางกูร เพื่อไต่สวนกรณีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับคดีท่อก๊าซด้วย

ล่าสุด น.ส.รสนา โตสิตระกูล และนายศรีราชา วงศารยางกูร ก็ได้รับหนังสือคำสั่งกรณีละเมิดอำนาจศาลจากศาลปกครองสูงสุด โดยเนื้อหาได้ระบุถึงรายละเอียดของการกระทำของบุคคลดังกล่าวที่เข้าข่ายเป็นการละเมิดอำนาจศาลมีใจความสำคัญ ดังนี้

กรณีของ นายศรีราชา ที่ไปให้สัมภาษณ์ในรายการ face time มีการแสดงความเห็นช่วงหนึ่งในรายการกล่าวหาศาลในทำนองว่าศาลปกครองสูงสุดเร่งรีบสั่งคดีและรู้เห็นเป็นใจกับ ปตท. ศาลเห็นว่านายศรีราชา ซึ่งจบการศึกษาถึงปริญญาตรีและปริญญาโททางด้านนิติศาสตร์ กลับกล่าวถึงการทำงานของศาลว่าเร่งรีบโดยไม่ได้พูดถึงคำสั่งคำวินิจฉัยของศาลเลย จึงมิใช่เป็นการวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยสุจริตด้วยวิธีการทางวิชาการ กรณีจึงเข้าข่ายเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 
และกรณีของ น.ส.รสนา ที่แสดงความคิดเห็นผ่านทางเฟสบุ๊คของตัวเอง ทำนองว่า ถ้าการแปรรูปไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายจริงๆ ศาลก็ต้องสั่งยกคำร้องของผู้ฟ้องคดี  การที่ศาลไม่สั่งเพิกถอนการแปรรูปทั้งที่การแปรรูปผิดกฎหมายต่างหากที่เป็นการใช้หลักรัฐศาสตร์มากกว่าหลักนิติศาสตร์มาตัดสินคดีนั้น อาจทำให้ผู้อ่านความเห็นดังกล่าวเชื่อว่าศาลมิได้พิพากษาให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย เป็นการกล่าวหาว่าในการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวศาลใช้หลักการอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าหลักกฎหมายในการตัดสินคดี นอกจากนั้นการที่น.ส.รสนา ได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์พาดพิงการวินิจฉัยสั่งคำร้องของศาลว่า ศาลปกครองสูงสุดได้รับข้อมูลอันเป็นเท็จ และให้การรับรองการแบ่งแยกทรัพย์สินว่าครบถ้วนแล้ว เป็นเรื่องที่ทำให้รัฐเสียหายและเสียประโยชน์ โดย น.ส.รสนาได้นำมติของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 มาอ้างอิง ซึ่งมติดังกล่าวมีขึ้นภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งคำร้องเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2551 เป็นเวลานานมากแล้ว อีกทั้งมติของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินดังกล่าวก็มิได้ผูกพันศาลปกครองแต่อย่างใด ข้อความของ น.ส.รสนาในบทความดังกล่าวทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าศาลวินิจฉัยสั่งคดีไปโดยไม่ถูกต้อง การแสดงความเห็นดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยสุจริตด้วยวิธีการทางวิชาการ แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาที่เข้าข่ายเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 
อย่างไรก็ดีแม้การกระทำของบุคคลดังกล่าวเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลแต่ศาลปกครองเห็นควรลงโทษแค่สถานเบา โดยมีคำสั่งตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น










ที่มา อ่านเอกสารเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/2nRRYL3

บิดเบือนคำตัดสินศาล เรื่องท่อก๊าซเป็นสมบัติสาธารณะของแผ่นดิน

ท่อก๊าซเป็นสมบัติสาธารณะของแผ่นดิน เป็นการบิดเบือนเนื้อหาคำตัดสินศาล



ถ้าอ่านตามประโยคเต็มคือ สำหรับในส่วนของทรัพย์สินที่การปิโตรเลียมฯ ได้มาโดยมิได้ใช้อำนาจมหาชน แต่ได้มาโดยวิธีอื่น เช่น การซื้อ จัดหา หรือแลกเปลี่ยน ตามมาตรา ๗(๑) แห่งพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๑๑ นั้น

ไม่ถือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุ

ตามมาตรา ๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.๒๕๑๘

ยกเนื้อหามาจาก คำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ ฟ.๔๗/๒๕๔๙ คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.๓๕/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๔ เดือน ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ หน้า ๘๐

ท่อก๊าซ ปตท. สำคัญไฉน

ท่อก๊าซ ปตท. สำคัญไฉน
โดย ฉกาจนิตย์ จุณณะภาต นักกฎหมายพลังงาน

จากการเดินสายชี้แจงเรื่อง hot issue ที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ต้องการให้ ปตท. แบ่งแยกท่อก๊าซของ ปตท. ไปให้รัฐ ในช่วงที่ผ่านมา นั้น


ผมเริ่มมองเห็นภาพว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ ปตท. กับ รัฐ อย่างที่เคยเข้าใจเสียแล้ว แต่การหาทางออกที่ไม่ถูกต้องของเรื่องนี้ จะกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนทุกคนมากทีเดียว

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คือ ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยจะเกิดความปั่นป่วนอย่างมาก เพราะขนาดของกลุ่ม ปตท. ในตลาดมีขนาดถึง 1 ใน 4 ของภาพรวม

เอกชนและนักลงทุน จะสูญเสียความเชื่อมั่นและไม่กล้าลงทุนในโครงการใหญ่อีก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนรัฐยึดไปเมื่อไหร่

นอกจากนั้น ระบบคุ้มครองสิทธิ์ของเอกชนโดยศาลจะสั่นคลอน เพราะคำพิพากษาของศาลไม่ถูกเชื่อถือโดยหน่วยงานของรัฐ

เรื่องย่อๆ เกี่ยวกับท่อก๊าซ ปตท. นี้ เพจ 'สรุป' ได้จัดทำไว้แล้วค่อนข้างดีสำหรับผู้ที่ไม่ได้ติดตามมาก่อน #สรุป #สรุปเดียว ลองอ่านกันได้ครับ

สำหรับในโพสต์นี้ ผมจะขอสรุปเรื่องนี้อีกครั้ง เพื่อจะเสริมให้พอเห็นภาพว่า เรื่องท่อก๊าซ ปตท. เริ่มต้นจากตรงไหน และหน่วยงานรัฐออกมาขอให้ ปตท. แบ่งแยกท่อก๊าซ โดยใช้หลักการอะไร

1. เมื่อปี 2544 ปตท. ได้แปลงสภาพตัวเองจากองค์การของรัฐให้ป็นบริษัทมหาชน เพื่อระดมทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ถามว่าทำให้ประสิทธิภาพต่างกันตรงไหนกับของเดิม เพื่อนๆ ลองเทียบการรถไฟ องค์การโทรศัพท์ กับ ปตท. การท่าอากาศยาน ทุกวันนี้ดูครับ

2. ในการแปลงสภาพ ปตท. ต้องใช้กฎหมายฉบับหนึ่ง เรียกย่อๆว่า 'กฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ' ซึ่งกำหนดว่า ทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่เดิม ให้โอนมาเป็นของ ปตท. ที่แปลงสภาพแล้วทั้งหมด กฎหมายกำหนดไว้แบบนี้ เพื่อให้บริษัทที่แปลงสภาพมีทุนในการดำเนินการต่อ มิเช่นนั้น ก็ต้องมาแบบตัวเปล่าๆ ซึ่งถ้าต้องหมดตัวเช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่า ปตท. จะแปลงสภาพมาเพื่ออะไร

3. หลังจากนั้นอีก 5 ปี มีกลุ่ม NGO ยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุด บอกว่า ปตท. แปรรูปไม่ได้ ผิดกฎหมาย ศาลท่านก็ตัดสินว่า การแปรรูป ปตท. เดินมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องให้เดินถอยหลังกลับไปอีก

4. แต่ครั้งนี้ ศาลได้วางหลักกฎหมายขึ้นมาบอกว่า แม้ ปตท. จะแปรรูปแล้ว แต่ก็ต้องแบ่งแยกทรัพย์สินที่ใช้ 'อำนาจมหาชน' ที่ได้มาก่อนแปรรูป ปี 2544 ให้กับรัฐนะจ๊ะ ซึ่งตอนนั้น ปตท. ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะไม่แฟร์กับนักลงทุน ก็ตอนที่ ปตท. เปิดขายหุ้นให้นักลงทุนทั่วไป ได้รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดไปแล้ว ไม่เห็นมีใครออกมาทักท้วงอะไร แต่พอผ่านมา 5 ปี จะมาแบ่งทรัพย์สิน ปตท. ไปเฉยเลย ก็เท่ากับว่านักลงทุนถูกหลอกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

แต่ศาลก็คือศาล ทุกคนต้องเคารพ มันคือกติกา ปตท. ก็ไม่มีปัญหาอะไร แบ่งแยกทรัพย์สินคืนไป

5. หลักการแบ่งทรัพย์สิน หน่วยงานต่างๆ ก็มาตกลงกันตามที่ศาลบอก คือ อันไหนที่ใช้ 'อำนาจมหาชน' ได้มาก่อน ปตท. แปรรูป ก็ให้กับรัฐไป ได้แก่ การเวนคืนที่ดิน การรอนสิทธิที่ดินเอกชน และทรัพย์สินที่อยู่บนที่ดินเหล่านั้น (ซึ่งก็คือ ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ปตท. นั่นเอง)

6. พอ ปตท. แบ่งแยกเสร็จ ก็ส่งคืนให้กับรัฐไปตามหลักเกณฑ์ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดก็เห็นด้วยว่า ปตท. ส่งท่อก๊าซให้รัฐตามคำพิพากษาครบแล้ว

7. แต่ปรากฏว่าวันที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งว่า ปตท. ส่งครบแล้ว สตง. กลับส่งหนังสือไปถึงศาลบอกว่า ปตท. ยังส่งคืนไม่ครบนะ โดยเฉพาะท่อก๊าซในทะเล

แต่ สตง. ก็ดันไปสัญญากับศาลว่า เรื่องที่ว่าจะคืนครบหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่ศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาละกันขอรับ สตง. เพียงแต่ให้ข้อมูลเพิ่มว่าศาลอาจจะได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ตอนที่รับรองว่า ปตท. ส่งท่อก๊าซครบแล้ว

8. ศาลปกครองสูงสุดก็ดูข้อมูลที่ สตง. ส่งมาให้ แล้วพิจารณาว่า ท่อก๊าซในทะเลไม่เข้าหลัก 'อำนาจมหาชน' ที่ศาลตัดสินเอาไว้ ดังนั้น ที่ศาลรับรองว่า ปตท. ส่งท่อก๊าซครบ จึงถูกต้องแล้ว ศาลก็เลยส่งหนังสือไปแจ้ง สตง. ว่า ศาลพิจารณาความเห็น สตง. แล้ว ก็ยังยืนยันแบบเดิมว่า ปตท. ส่งท่อก๊าซครบแล้ว 'ตามหลักกฎหมาย'

9. เรื่องท่อส่งก๊าซ ปตท. ก็เงียบไปอยู่หลายปี และ สตง. ก็รับรองงบการเงิน ปตท. ต่อตลาดหลักทรัพย์มาตลอดไม่มีประเด็นเรื่องท่อส่งก๊าซอีก ทุกอย่างดูเหมือนจะจบตามที่ศาลปกครองสูงสุดบอก

10. ปรากฏว่าหลัง คสช. ยึดอำนาจปี 2557 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ออกมาเคลื่อนไหวเรื่อง ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ปตท. อีกครั้ง คราวนี้ไปไกลกว่าเดิม ยิ่งกว่า สตง. คือ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง (อีกครั้ง) ขอให้ ปตท. แบ่งแยกท่อส่งก๊าซธรรมชาติทั้งหมด ไม่ว่าก่อนหรือหลังแปรรูป มูลค่า 68,000 ล้านบาท พูดง่ายๆ ว่าขอให้ ปตท. มอบท่อก๊าซทั้งหมดให้รัฐนั่นเอง เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินบอกว่าท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ประชาชนใช้ร่วมกันก็ต้องตกเป็นของแผ่นดิน!

11. พอกระแสถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง สตง. ที่เคยเงียบไป ก็ลืมสัญญาที่ตัวเองให้ไว้กับศาล ออกมาร่วมวงกับเขาด้วย โดยขอให้ ปตท. มอบท่อก๊าซในทะเลที่ สตง. เคยบอกไว้นานมาแล้วให้กับรัฐ แต่เนื่องจาก สตง. ไม่มีอำนาจไปฟ้องเรียกท่อก๊าซเอง จึงบังคับเชิงข่มขู่ว่า ให้คณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน ไปเอามาแทน สตง. มิเช่นนั้น สตง. จะฟ้องศาลให้เอาผิด!

เมื่อตอนนี้อำนาจศาลถูกท้าทาย ก็ต้องดูกันต่อไปครับว่า เรื่องนี้จะหาทางออกกันอย่างไร

สรุปคือ เรื่องท่อก๊าซธรรมชาติ ปตท. ก็กลับมาเป็นมหากาพย์ด้วยประการฉะนี้ครับ สาเหตุหลักเกิดจากมีบุคคลและหน่วยงานบางกลุ่มไม่เชื่อตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง

สำหรับในความเห็นส่วนตัวของผม การเอาท่อส่งก๊าซของ ปตท. ไปได้สำเร็จ นั้น อาจจะได้แค่เพียงความสะใจในช่วงสั้นๆ แต่ถ้ามองระยะยาวแล้ว มันไม่คุ้มกันเลยกับมูลค่าท่อเพียงไม่กี่หมื่นล้าน กับ ความพังพินาศของระบบความเชื่อมั่นของประเทศไทย ซึ่งประเมินค่าไม่ได้

ทุกวันนี้จึงได้แต่ภาวนาขอให้ผู้นำประเทศไทย ยึดมั่นในหลักกฎหมายและนิติรัฐอย่างมั่นคงครับ

----------------------------------------------------------------------------------------------------

แล้วถ้า เรื่องการที่จะให้กฤษฎีกาตีความเรื่องนี้ในขณะนี้ ทำได้หรือไม่? อย่างไร? ควรทำหรือไม่?

1. ความจริงแล้วมติ ครม. 18 ธันวาคม 2550 ที่รับทราบคำพิพากษาของคดีแปรรูป ปตท. บอกไว้ว่า หากมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษาของศาล ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ตีความครับ

2. แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือ ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งรับรองการคืนทรัพย์สินของ ปตท. เป็นเวลาถึง 1 ปี (ระหว่างวันที่ 18 ธ.ค. 2550 - 26 ธ.ค. 2551) ไม่มีหน่วยงานใดยื่นให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความคำพิพากษาเลยครับ แม้แต่ สตง. เองก็ตาม

ดังนั้น จึงมองเป็นอื่นไม่ได้ว่า ก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับรอง ปตท. นั้น หน่วยงานของรัฐเองก็ไม่เคยมองว่ามีข้อโต้แย้งในการตีความคำพิพากษา

3. แม้ว่าต่อมา สตง. เลือกที่จะลืมข้อเท็จจริงสองข้อข้างต้นนี้ไป และส่งหนังสือไปแจ้งศาลปกครองสูงสุดภายหลังที่ศาลมีคำสั่งรับรองไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2552 ว่า สตง. ไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกทรัพย์สิน (แทนที่จะส่งไปยังกฤษฎีกาตามมติ ครม.)

แต่ สตง. ก็ต้องไม่ลืมว่า ตนเองได้สละสิทธิ์ที่จะหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. 2552 เพราะ สตง. แจ้งศาลเองว่า "การแบ่งแยกทรัพย์สินครบถ้วนหรือไม่ ให้คำวินิจฉัยศาลเป็นที่สุด"

4. แต่พอศาลวินิจฉัยแล้วว่า ในความเห็นของศาล ปตท. ได้แบ่งแยกทรัพย์สินครบถ้วนตามคำพิพากษาแล้ว

สตง. กลับลืมคำมั่นสัญญาของตัวเองที่เคยให้ไว้ นำเรื่องส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตีความในสิ่งที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว

ดังนั้น ในความเห็นของผม จึงมองว่า การกระทำของ สตง. ที่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ควรทำและไม่เหมาะสมครับ เพราะเป็นการท้าทายอำนาจศาลปกครองสูงสุดโดยตรง และยังเป็นการผิดคำพูดของตัวเองอีกด้วย

สำหรับในมุมของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็น่าเห็นใจอยู่นะครับ เพราะเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล จะไม่รับเรื่องที่หน่วยงานรัฐส่งมาหารือก็ไม่ได้

ซึ่งเรื่องนี้ต้องถาม สตง. มากกว่าครับ ว่า เหตุใดจึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาล่าช้าไปถึง 7 ปี และถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นที่เหมือนศาลหรือแตกต่างจากศาล สตง. จะทำอย่างไรต่อไป?

เพราะความเห็นกฤษฎีกาไม่อาจเพิกถอนคำพิพากษาของศาลได้

ที่มา Pum Chakartnit

9 เหตุผล ปตท. คืนท่อครบถ้วน



1. ศาลให้คืนบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด
2. คืนเฉพาะท่อบนที่ดินที่ใช้อำนาจมหาชนรอนสิทธิ
3. ท่อในทะเล ไม่ได้รอนสิทธิใคร ขออนุญาติเหมือนเอกชนขอวางสาย Fibre Optic
4. ศาลได้รับข้อมูลทรัพย์สินท่อของปตท.ทั้งหมด และรับทราบความเห็นสตง.ในการพิจารณาสั่งและยืนยันว่าปฏิบัติครบถ้วนแล้ว
5. สตง.ยืนยันในหนังสือถึงศาลเองว่าคำตัดสินศาลถือเป็นยุติ
6. สตง.รับรองงบปตท.ในฐานะผู้สอบบัญชีมาทุกปี โดยไม่เคยโต้แย้งหรือมีความเห็นเรื่องทรัพย์สินท่อที่บันทึกในงบดุล
7. ครม.ยุคนายกฯอภิสิทธิ์ปี 2553 รับทราบรายงานจากกระทรวงการคลังว่าได้ดำเนินการตามมติครม.ที่ให้ปฎิบัติตามคำสั่งศาลครบถ้วนแล้ว
8. หากปตท.หรือหน่วยงานอื่นใดทำนอกเหนือคำสั่งศาล ก็ผิดกฎหมายเช่นกัน เพราะองค์กรเสียหาย ผู้ถือหุ้นสามารถฟ้องผู้เกี่ยวข้องได้
9. มูลค่าหุ้นปตท.ที่ขายให้นักลงทุนใน IPO ได้รวมทรัพย์สินท่อทั้งหมดในขณะนั้น และรัฐได้รับเงินจากหุ้นที่ขายให้เอกชนนักลงทุนไปแล้ว

ย้อนรอยมหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท. ผลประโยชน์ชาติบนความปั่นป่วนไร้จุดจบ

มหากาพย์ “ท่อก๊าซ ปตท.” ถูกจุดพลุขึ้นมาเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” อีกหน!



หลังประธานคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดแถลงมติ คตง.ที่ให้ชี้มูลความผิดอดีต รมว.คลัง (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) พร้อมข้าราชการและอดีตผู้บริหารบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รวม 6 คน

โดยระบุว่า กระทำการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2550 กรณีแบ่งแยกทรัพย์สินและคืนท่อก๊าซบริษัท ปตท.ที่ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2550 ยังผลให้รัฐเกิดความเสียหายกว่า 32,613.45 ล้านบาท ก่อนส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.และรัฐบาลดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องต่อไป

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก! ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 เม.ย.2559 ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินก็ออกโรงแถลงมติคณะกรรมการตรวจการแผ่นดินที่ให้ยื่นเรื่องฟ้องกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ต่อศาลปกครอง โดยระบุว่าส่งมอบท่อก๊าซที่ว่านี้ไม่ครบตามคำพิพากษาของศาลมาแล้ว จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันชดใช้คืนเงินแผ่นดินวงเงินกว่า 52,393 ล้านบาท

ยังมีเครือข่ายปฏิรูปพลังงาน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายเอ็นจีโอที่ออกโรงยื่นฟ้องศาลปกครองและศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้บริษัท ปตท.ส่งคืนท่อก๊าซในส่วนที่อ้างว่ายังแบ่งแยกและส่งคืนให้แก่รัฐไม่ครบถ้วน ไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด

จนก่อให้เกิดคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับ “ท่อก๊าซ ปตท.” ทำไมกรณีการแบ่งแยกทรัพย์สินส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ที่ดำเนินการไปนับ 10 ปี ถึงยังคาราคาซังไม่สะเด็ดน้ำเสียที!

“ทีมเศรษฐกิจ” ขอย้อนรอยมหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท.ที่ว่านี้ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันวิเคราะห์ แน่นอนว่า หาก ปตท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงมีรายการ “หมกเม็ด” ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมติ ครม.และคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจนยังผลให้รัฐเสียหาย ก็สมควรที่ทุกฝ่ายจะไล่เบี้ยทวงคืนผลประโยชน์ของแผ่นดินคืนมา

แต่หากรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ได้ดำเนินการไปอย่างครบถ้วนแล้ว ก็สมควรที่ประชาชนคนไทยจะได้ร่วมปกป้องและส่งกำลังใจให้รัฐกับองค์กร ปตท.ได้ลุกขึ้นมาฟ้องไล่เบี้ยเอากับเครือข่ายเหล่านี้อย่าง “สาสม” จะได้ไม่เที่ยวไปขุดเอาเผือกร้อนนี้ไป “แบล็กเมล์” ใครต่อใครกันได้อีก!

********

ย้อนรอยมหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท.

วิกฤตการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 1 เมื่อปี 2516 ทำให้รัฐบาลต้องมองหาแหล่งพลังงานภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศจนกระทั่งประเทศไทยสำรวจพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย จึงมีการลงทุนวาง “ท่อส่งก๊าซปิโตรเลียม” จากแหล่งผลิตมายังชายฝั่งทะเลตะวันออก และกรุงเทพฯ

รัฐบาลได้จัดตั้ง “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย” ขึ้นเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2521 เพื่อรับผิดชอบการบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง การจัดหาและนำเข้าพลังงานตลอดจนเป็นเครื่องมือของรัฐในการดูแลเสถียรภาพด้านพลังงานประเทศ

ก่อนที่รัฐจะดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็น “บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)” และนำกิจการเข้าจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2544 และถือเป็นรัฐวิสาหกิจลำดับต้นๆของประเทศที่มีการแปรรูปนำกิจการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นอย่างจริงจัง!

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปตท.นั้น เครือข่ายภาคประชาชนและโดยเฉพาะ “มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค” ได้ออกโรงคัดค้านกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนี้อย่างถึงพริกถึงขิง ด้วยนัยว่าเป็นการ “ขายชาติ” เปิดให้ทุนการเมือง หรือนอมินีต่างชาติเข้ามา “ชุบมือเปิบ” ทั้งยังได้ยื่นฟ้องรัฐบาลต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนการแปรรูป และนำทรัพย์สินท่อก๊าซที่ว่ากลับมาเป็นสมบัติของแผ่นดิน

กระทั่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาที่ ฟ 35/2550 (คดีแปรรูป ปตท.) ลงวันที่ 14 ธ.ค.2550 ให้ยกคำฟ้องกรณีเพิกถอนการแปรรูป ปตท.จำกัด (มหาชน) แต่ให้คณะรัฐมนตรี นายกฯ กระทรวงพลังงานคลัง และ ปตท.ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินกลับมาเป็นของรัฐ

หลังคำพิพากษา คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลังดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินดังกล่าว โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง และหากมีข้อโต้แย้งด้านกฎหมายก็ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณา

แม้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงานและบริษัท ปตท.จะดำเนินการแบ่งแยกและโอนทรัพย์สินท่อก๊าซ ปตท.กลับมาเป็นของรัฐตามคำพิพากษาของศาล จนกระทั่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งลงวันที่ 26 ธ.ค.2551 ยืนยันว่า “ปตท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว”

อย่างไรก็ตาม หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับรองการส่งมอบท่อก๊าซปตท.ข้างต้นไปเพียงขวบเดือน กลับปรากฏว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีหนังสือไปถึงสำนักงานศาลปกครอง กระทรวงการคลัง พลังงานและบริษัท ปตท.เพื่อแจ้งว่า ปตท.ยังส่งมอบทรัพย์สินให้กระทรวงการคลังไม่ครบถ้วน

เป็นจุดกำเนิดของ “มหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท.” ที่ยังคงมีการตามล้างตามเช็ดมาจนกระทั่งปัจจุบัน!!!

จุดพลุคืนท่อก๊าซ ปตท.ย้อนแย้งศาล?

ในทันทีที่ สตง.“จุดพลุ” ประเด็นการส่งคืนท่อก๊าซ ปตท. มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคและเครือข่ายเอ็นจีโอที่ต่อสู้กับกระบวนการแปรรูป ปตท.มาก่อนหน้า ก็ยื่นฟ้อง ปตท.ต่อศาลปกครองในทันที (3 มี.ค.2552)

และแม้ศาลปกครองจะมีคำพิพากษาให้ “ยกคำร้อง” และยืนยันว่า ปตท.ได้ดำเนินการคืนท่อครบถ้วนแล้ว แต่กระนั้นมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคและเครือข่ายก็ยังคงเดินหน้ายื่นฟ้องศาลปกครองอีกเพื่อให้ ปตท.แบ่งแยกและคืนท่อก๊าซฯตามมาอีกหลายต่อหลายครั้ง

มีการเปิดประเด็นใหม่ๆ ขึ้นร้องต่อศาลไม่หยุดหย่อน และเมื่อศาลไม่รับฟ้องทางกลุ่มก็จะยื่นอุทธรณ์ เมื่อศาลไม่รับอุทธรณ์ กลุ่มจะยื่นเรื่องให้เพิกถอนคำพิพากษาตามมาอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ถึง 5 รอบ จนกระทั่งวันที่ 16 ก.พ.2558 ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ในคดีที่มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคกับพวกรวม 1,455 คน ร่วมกันอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกรณีแบ่งแยกทรัพย์และส่งคืนท่อก๊าซ ปตท. ที่ว่านี้

โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนยันตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง “ไม่รับคำฟ้องอุทธรณ์” ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ เนื่องจาก ปตท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาในคดีแปรรูป ปตท. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แม้จะมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดสั่งไม่รับคำฟ้องอุทธรณ์และให้จำหน่ายคดี แต่เครือข่ายภาคประชาชนกลุ่มนี้ก็ยังคงเดินหน้าร้องสิบทิศ และถึงขั้นยื่นเรื่องร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลปกครอง
สูงสุด และตุลาการศาลปกครองว่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มีการกระทำทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่อีก!

ก่อนที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) จะออกโรงตอกย้ำประเด็นการแบ่งแยกและส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ที่ว่านี้ในห้วงขวบเดือนที่ผ่านมา ที่ทำเอาใครต่อใคร “นั่งไม่ติด”

คลัง–ปตท.ยันทำตามคำพิพากษาครบถ้วน!

นายชวลิต พันธ์ทอง ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและบริหารความยั่งยืน ปตท. กล่าวกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า ขอยืนยันว่าปตท.ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด และมติ ครม.ครบถ้วนแล้ว พร้อมทั้งได้นำเสนอข้อมูลทรัพย์สินของ ปตท.ทั้งก่อนและหลังการแปรรูปต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อประกอบการพิจารณามาโดยตลอด ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษา “ถึงที่สุด” ให้การรับรองเมื่อปลายปี 2551

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 เม.ย.2559 ศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2551 อีกครั้ง

กับประเด็นที่ คตง. และ สตง. ยังคงมีความเห็นว่า ปตท.มิได้รอความเห็นของ สตง.ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อปี 2551 นั้น ปตท.ยืนยันว่า ได้นำส่งข้อมูลบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดให้ สตง.พิจารณาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.2551 ซึ่ง สตง.เองก็ไม่ได้มีความเห็นใดกลับมายัง ปตท. “ที่มีการกล่าวอ้างว่า สตง.ได้ส่งรายงานแจ้งแก่ ปตท.ว่า ยังส่งคืนท่อก๊าซฯไม่ครบนั้น เป็นเพียงเอกสารแนบท้ายหนังสือของ สตง. ลงวันที่ 26 ธ.ค.2551 ที่ สตง.นำส่งให้แก่ศาลปกครองสูงสุด ปตท.และหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งไปแล้ว”

ส่วนหนังสือที่ ปตท.ได้รับจาก สตง.นั้น เป็นหนังสือฉบับลงวันที่ 20 ก.พ.2552 ที่แจ้งว่า ปตท.ยังส่งคืนทรัพย์สินให้กระทรวงการคลังไม่ครบถ้วน แต่ก็ได้ลงท้ายหนังสือไว้ด้วยว่า ทั้งนี้ การดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินจะครบถ้วนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลเป็นสำคัญ “ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ออกมาย่อมถือเป็นยุติ และประเด็นดังกล่าวสำนักงานศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 มี.ค.2552 ตอบกลับไปยัง สตง.และ ปตท.แล้วว่า ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาข้อมูลของ สตง.แล้ว และเห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ยังสำทับด้วยคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ที่มีต่อประเด็นนี้ โดยศาลได้ระบุชัดเจนว่า ข้อกล่าวอ้างที่ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2550 (เรื่องที่ให้ สตง.รับรอง) ไม่ใช่เหตุที่จะกล่าวอ้างว่า การดำเนินการตามคำพิพากษายังไม่ถูกต้องสมบูรณ์

“ทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้ว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินเป็นไปตามคำพิพากษาและหลักเกณฑ์ที่ ครม.กำหนดและคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ย่อมถือเป็นยุติ ไม่อาจมีบุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดจะมีอำนาจกลับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดได้”

เช่นเดียวกับ นายอำนวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ที่ออกมาโต้แย้งมติ คตง.-สตง.ต่อกรณีการแบ่งแยกทรัพย์สินและส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ที่ว่านี้ว่า ประเด็นที่ คตง.-สตง.และเครือข่ายยังคงติดใจในเรื่องของทรัพย์สินท่อก๊าซ “ในทะเล” ที่ไม่ได้นำมารวมด้วยนั้น ประเด็นนี้ คตง.และ สตง.ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.2557 จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการตีความลงมา

“แต่ไม่ว่าจะอย่างไรหากยึดตามหลักการก็ต้องยึด “คำพิพากษาของศาลปกครอง” เป็นหลัก และถือเป็นที่สุดอยู่แล้ว ไม่ใช่ยึดตามผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา”

ที่สำคัญในการตรวจสอบและรับรองงบการเงินประจำปีของบริษัท ปตท.โดย สตง.ก็รับรองแบบไม่มีเงื่อนไขมาโดยตลอด หากสิ่งที่ สตง.ลุกขึ้นมาโต้แย้งว่า ปตท.ยังคงส่งมอบทรัพย์สินท่อก๊าซไม่ครบถ้วน ถ้าเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่า สตง.ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ถือหุ้นของบริษัท ปตท.มาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?!!!

“การที่ คตง. และ สตง.หารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาและจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยุติ แต่กลับมาสรุปเองว่า การแบ่งแยกทรัพย์สินไม่ครบถ้วนและกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น พฤติกรรมของ คตง. และ สตง.จึงเป็นการบั่นทอนขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโดยสุจริต”

บทสรุป :

สำหรับ “ทีมเศรษฐกิจ” แล้ว ข้ออ้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินเพื่อส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ที่กระทรวงการคลังและ ปตท.ดำเนินการไปก่อนหน้า มีการรวบรัดขั้นตอนโดยไม่มีการส่งเรื่องให้ สตง.ตรวจรับรองความถูกต้องก่อนรายงานคณะรัฐมนตรี (ครม.) และศาลปกครองสูงสุด รวมไปถึงไม่ได้ส่งร่างบันทึกการแบ่งแยกทรัพย์สินให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาก่อนนั้น

ท้ายที่สุดก็อย่างที่ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาลงมา ประเด็นดังกล่าวหาใช่เหตุที่จะทำให้การดำเนินการแบ่ง แยกทรัพย์สิน–ท่อก๊าซ ปตท.ขาดความสมบูรณ์จนเป็นเหตุให้ศาลต้องมาพิพากษาในเรื่องที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา “ถึงที่สุด” ไปแล้ว

ที่สำคัญคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ที่สั่งไม่รับอุทธรณ์คดีนี้และสั่งให้จำหน่ายคดีออกไปจากสารบบนั้น ได้ระบุชัดเจนว่า การจะให้ศาลมีคำพิพากษาในสิ่งที่ศาลปกครองสูงสุดได้ชี้ขาดเป็นที่ยุติไปแล้วนั้นถือเป็นการ “ต้องห้าม”

และหากในที่สุดแล้ว เกิดมีองค์กรอิสระใดหรือศาลอื่นใดมีคำพิพากษาในคดีนี้ที่ผิดแผกแตกต่างไปจากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ก็คงจะกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่อาจทำให้หน่วยงานรัฐปั่นป่วนขึ้นไปอีก เพราะไม่รู้ว่าต่อไปจะยึดถือเอาคำพิพากษาศาลใดเป็นเกณฑ์ปฏิบัติกันได้อีก...

เหนือสิ่งอื่นใด หากคำพิพากษาของ “ศาลปกครองสูงสุด” ยังไม่เป็นที่สุดหรือที่ยุติแล้ว เรายังจะเชื่อถือองค์กรใดในประเทศไทยนี้ได้อีก?!!!

ทีมเศรษฐกิจ

ที่มา ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/623908

รองปลัดคลังสวนกลับ คตง. สตง. หมิ่นศาล กั๊กข้อมูล ปกปิดความผิดตัวเอง

นายอำนวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวในฐานะเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าจะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กรณีที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ระบุว่า บมจ.ปตท. (PTT) คืนท่อก๊าซให้กระทรวงการคลังไม่ครบถ้วนและรายงานข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐว่า ข้อกล่าวหาทั้ง  2 ประเด็นดังกล่าว ปราศจากเหตุและผลทุกประการ


ที่มา ภาพ http://www.mof.go.th/vayupak/inc_news_detail.php?id=313

นอกจากนั้น ยังมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ได้ทำความเห็นไปยังศาลปกครองและศาลปกครองได้ตอบยืนยันเป็นทางการแล้วว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินเรียบร้อยแล้ว อีกทั้ง คตง. และ สตง.ก็รู้ว่าที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดก็มีคำวินิจฉัยเป็นที่สุดแล้วว่า การแบ่งแยกทรัพย์สินตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว การที่ คตง.และ สตง. ยังเห็นว่าไม่ครบจึงเท่ากับเป็นการดูหมิ่นศาลปกครอง

อีกทั้งยังปกปิดความผิดของตัวเองที่รับรองงบการเงินของ บมจ.ปตท.ที่ผ่านมาอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งที่ สตง. เป็นผู้ทักท้วงว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินยังไม่ครบถ้วน รวมทั้งละเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ให้หารือคณะกรรมการกฤษฎีกากรณีที่มีปัญหาโดยได้ข้อยุติต่อไป แต่กรณีนี้การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกายังไม่เป็นที่ยุติ คตง.กับ สตง.กลับมาสรุปเองว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินยังไม่ครบถ้วน และใช้อำนาจกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และรายงานเท็จ

นายอำนวย กล่าวว่า พฤติกรรมของ คตง.และ สตง.ดังกล่าวเป็นการบั่นทอนขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับข้อเท็จจริงที่ คตง.และ สตง. ตั้งใจไม่แถลงให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบ คือ ประเด็นที่ 1 เรื่องความครบถ้วนถูกต้องของทรัพย์สินที่ .ปตท.ต้องแบ่งแยกและโอนให้กระทรวงการคลังนั้น ครม.มีมติมอบหมายกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังไปแบ่งแยกทรัพย์สินให้เป็นไปตามคำพิพากษา โดยให้ สตง.ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง ทั้งนี้หากมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายให้หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เป็นที่ยุติต่อไป

กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้กรมธนารักษ์เป็นผู้ดำเนินการ กรมธนารักษ์จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำการตรวจสอบและแบ่งแยกทรัพย์สินตามคำพิพากษา โดยในระหว่างนั้น ปตท.ก็ได้รายงานผลการดำเนินการให้ศาลปกครองสูงสุดทราบทุกระยะ โดยดำเนินการตรวจสอบรายการทรัพย์สินที่จะแบ่งแยกเสร็จสิ้นและรายงานให้กระทรวงการคลังเห็นชอบ จากนั้นลงนามในบันทึกแบ่งแยกทรัพย์สินเมื่อวันที่ 24 ก.ย.51

จากนั้นวันที่ 11 มิ.ย.51 กระทรวงการคลังได้แจ้งการตรวจสอบและแบ่งแยกทรัพย์สินของ ปตท.ที่จะโอนมาให้เพื่อให้ สตง.ตรวจสอบ หลังจากนั้นได้ไปจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามกฎหมายตามจังหวัดต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งของทรัพย์สินครบถ้วนเมื่อวันที่ 28 พ.ย.51 ปตท.ถึงรายงานสรุปผลการดำเนินการต่อศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.51 และศาลมีความเห็นว่าดำเนินการตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ก.พ.52  สตง.มีหนังสือลับถึงศาลปกครองสูงสุดและนายกรัฐมนตรี โดยเห็นว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินตามคำพิพากษายังไม่ครบ โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า "ทั้งนี้การดำเนินการแบ่งแยกและส่งมอบทรัพย์สินของ บมจ. ปตท. ให้กระทรวงการคลัง ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดจะครบถ้วนและเป็นไปตามคำพิพากษาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดซึ่งคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุดถือเป็นที่ยุติ"

วันที่ 10 มี.ค.52 ศาลปกครองได้มีหนังสือตอบ สตง.ว่า ศาลปกครองได้ติดตามการดำเนินการตามคำพิพากษาและรายงานให้ศาลทราบ ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้อง คดีที่ 1-4 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"เอกสารฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 และวันที่ 10 มีนาคม 2552 นี้ คตง. และ สตง. ตั้งใจปกปิดไม่แถลงต่อสื่อมวลชนและประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นการให้ข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ นอกจากนี้ในระหว่างดำเนินการก็ได้มีผู้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อให้วินิจฉัยว่าการแบ่งแยกและโอนทรัพย์สินดังกล่าว ยังไม่ครบถ้วนอีกหลายครั้ง ซึ่งศาลปกครองก็ได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องและยืนยันท้ายคำฟ้องมาโดยตลอดว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ได้แบ่งแยกและโอนทรัพย์สินตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2559 ที่ประชุมตุลาการศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีมติยืนยันเช่นเดียวกันว่าผู้ถูกฟ้องคดี ได้แบ่งแยกและโอนทรัพย์สินตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว ในส่วนนี้ คตง.และ สตง. ก็จงใจปิดบังไม่ให้ข้อเท็จจริงแก่สื่อมวลชนและประชาชน" นายอำนวย กล่าว

ข้อเท็จจริงอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ สตง.เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินของ บมจ.ปตท.โดย สตง.รับรองแบบไม่มีเงื่อนไขมาโดยตลอด ทั้งที่ สตง.เองเป็นผู้ทักท้วงมาโดยตลอดว่า ปตท.โอนทรัพย์สินไม่ครบ เท่ากับว่า สตง.ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และผู้ถือหุ้นของ ปตท. ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงและต้องมีผู้รับผิดชอบ

ส่วนประเด็นเรื่องการละเว้นไม่ปฏิบัติตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ส.ค.50 และรายงานข้อมูลอันเป็นเท็จนั้น กรมธนารักษ์จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำการตรวจสอบและแบ่งแยกทรัพย์สินและเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ คณะกรรมการได้รายงานให้กรมธนารักษ์ทราบและขอความเห็นชอบจากผู้ที่ได้รับมอบหมายจาก ครม. โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานได้รายงานให้ ครม. รับทราบ รายงานศาลปกครอง เพื่อพิจารณาว่าเป็นไปตามคำพิพากษาหรือไม่ และรายงาน สตง. เพื่อตรวจสอบตามมติ ครม. จึงเป็นแนวทางปฏิบัติราชการปกติทั่วไป ครม. มิได้มีมติให้ สตง. ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องก่อน แล้วจึงให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลัง รายงาน ครม.หรือศาลปกครองแต่อย่างใด

การดำเนินการของกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กรมธนารักษ์ และ บมจ.ปตท. จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ครม.มอบหมาย และมิได้มีการรายงานข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จแต่ประการใด

ที่มา http://www.ryt9.com/s/iq03/2424145

อ่านเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตั้งข้อสงสัยถึง สตง เรื่องการรับรองรายงานบัญชีประจำปีของ ปตท. กับ การตรวจสอบเรื่องคืนท่อก๊าซ
หลักฐานชิ้นสำคัญชี้ชัดว่า สตง. ยอมรับ ปตท. คืนท่อก๊าซครบถ้วน

ตั้งข้อสงสัยถึง สตง เรื่องการรับรองรายงานบัญชีประจำปีของ ปตท. กับ การตรวจสอบเรื่องคืนท่อก๊าซ

หากท่านผู้อ่านได้เคยอ่านรายงานประจำปี ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ อย่างหนึ่งที่ต้องมีคือ การตรวจสอบเอกสาร รับรองทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายต่างๆ และในกรณีของบริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจด้วยแล้ว รายงานประจำปี ย่อมมีความเข้มงวดในการตรวจสอบจาก หน่วยงานต่างๆ


กลับมาที่เรื่อง การคืนท่อส่งก๊าซ ที่เป็นคดีกันอยู่ขณะนี้ระหว่าง ปตท. กับ คตง. ที่ได้มีการออกสื่อไปต่างๆ ซึ่งขัดกับการระบุลงไปในรายงานประจำปี ของ ปตท. โดยสิ้นเชิง ดังนั้นน่าจะต้องกลับมาตั้งข้อสังเกตุที่เป็นหน่วยงานที่ทำการตรวจสอบบัญชีว่า มีจุดประสงค์ใดกันแน่

1. สตง. ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จากที่ให้ความเห็นเรื่องท่อในทะเลถือเป็นสาธารณะสมบัติ เป็นการตีความโดยไม่เป็นไปตามคำสั่งศาลและการพิจารณาของ ครม. หรือไม่?

2. สตง. บกพร่องในหน้าที่ เนื่องจากได้รับข้อมูลแบ่งแยกทรัพย์สินจาก ปตท. ตั้งแต่เดือนม.ค. 2551 แต่ดำเนินการล่าช้า โดยให้ความเห็นไม่ทันกำหนดเวลาที่ต้องรายงานศาลในเดือน ธ.ค. 51 หรือไม่?

3. สตง. ปกปิดความบกพร่องของตนเอง กล่าวร้ายผู้อื่น ขาดจริยธรรมและจรรยาบรรณของการปฏิบัติหน้าที่หน่วยงานตรวจสอบของรัฐ โดยกล่าวหา ปตท. ว่าให้ข้อมูลไม่ครบต่อศาล ทั้งที่เป็นผู้ให้ข้อมูลล่าช้าเอง และยังปกปิดข้อเท็จจริงที่ศาลมีความเห็นยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรกลับไปที่ผู้ว่า สตง. หรือไม่?

4. สตง. ไม่รักษาจุดยืน ขาดดุลยพินิจในความเหมาะสมของการปฏิบัติหน้าที่ โดยเคยมีหนังสือยอมรับคำตัดสินศาลเป็นที่สิ้นสุด แต่ยังมีความเห็นขัดแย้งตลอดมา สร้างปัญหาให้กับข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทมหาชน ในการปฏิบัติราชการ และสร้างความสับสนให้กับสังคม และความเสียหายกับเศรษฐกิจ หรือไม่?

5. สตง. กระทำความผิดร้ายแรง ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ผู้รับสอบบัญชี ไม่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ผู้รับสอบบัญชีให้บริษัทมหาชนต่อไป เพราะในฐานะผู้รับสอบบัญชีของ ปตท. ที่ได้รับแต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้น เมื่อมีความเห็นว่าท่อในทะเลเป็นทรัพย์สินที่จะต้องคืนให้รัฐ แต่กลับรับรองงบดุลต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 โดยไม่บันทึกความเห็นใดๆ ประกอบงบ กระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนไทยและต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ สร้างความสับสนและเสียหายต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทจดทะเบียน หรือไม่?

6. สตง. ขาดสำนึกในเรื่องการดำเนินการโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน ในกรณีการตรวจสอบทรัพย์สินของ บมจ.ปตท. จากการแปลงสภาพการปิโตรเลียมฯ เนื่องจากบทบาทผู้ตรวจสอบที่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐ และผู้รับสอบบัญชีที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น มีประโยชน์ขัดแย้งกัน ควรที่จะต้องประกาศต่อผู้ถือหุ้น และไม่รับเป็นผู้รับสอบบัญชีให้ ปตท. ตั้งแต่ปี 2552 หรือไม่?

7. สตง. ใช้อำนาจโดยมิชอบ สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกล่าวหาว่าละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่ครม.มีมติมอบหมายการปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างเป็นทางการ และผู้รับมอบหมายได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน หรือไม่?

8. ผู้ว่า สตง. กระทำการเกินอำนาจหน้าที่ ผิดมารยาทและจรรยาบรรณของผู้ตรวจสอบ โดยให้สัมภาษณ์สื่อสาธารณะและให้ข้อมูลบุคคลภายนอกเกี่ยวกับผลการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ คตง.จะเห็นชอบอย่างเป็นทางการ หรือไม่?

และหากเป็นเช่นนี้ การที่ให้ข้อมูลเรื่องการพิจารณานำคืนท่อก๊าซในส่วนเส้นที่ไม่ได้ใช้อำนาจมหาชนในการรอนสิทธิคืนนั้น อาจจะยังส่งผลให้ต้องตีความเรื่องอื่นๆ ของ สตง. เกี่ยวกับทรัพย์สินที่เป็นสาธารณะสมบัติซึ่งต้องคืนให้รัฐ จะมีผลลูกโซ่ถึงรัฐวิสาหกิจที่แปลงสภาพเป็น บมจ. อื่นๆ ตามมาอีกหรือไม่?

หมายเหตุ เอกสารรายงานผู้สอบบัญชีโดย สตง. ในรายงานประจำปีของ ปตท. ตั้งแต่ปี 2550 - 2558 จะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2550 - 2551 มีการระบุเรื่องการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีปรากฎรายละเอียดเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด