Showing posts with label ระบบแบ่งปันผลผลิต. Show all posts
Showing posts with label ระบบแบ่งปันผลผลิต. Show all posts

ระบบสัมปทาน ทำให้สูญเสียกรรมสิทธิ์ปิโตรเลียม จริงหรือ?

ประเด็นเรื่อง กรรมสิทธิ์ในปิโตรเลียม ที่มีผู้นำไปกล่าวถึงในที่ต่างๆ ว่า ในระบบแบ่งปันผลผลิตของเพื่อนบ้านนั้น ปิโตรเลียมที่ขุดพบจะตกเป็นของรัฐ แต่ในขณะที่ระบบสัมปทานไทย ปิโตรเลียมตกเป็นของเอกชนหมดแล้วหลังจากยกสัมปทานให้เขาไป...ฟังแล้วก็เคลิ้มและอาจดูเหมือนว่าเจ้าของทรัพยากรตัวจริงเสียท่า ไม่มีสิทธิในมูลค่าที่ได้จากการขาย และไม่มีสิทธิในการใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียมที่ขุดได้จากประเทศตัวเอง...เอกชนหรือบริษัทผู้ขุดเจาะจะทำอย่างไรกับปิโตรเลียมที่ขุดพบนั้นก็ได้ จะขายในราคาไหนก็ได้ จะส่งออกไปก็ได้ ตามใจชอบ....มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ...

สิทธิของผู้รับสัมปทาน ตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม มาตรา 23 54 56 สรุปความได้ว่า ผู้รับสัมปทาน มีสิทธิในการสำรวจ และเมื่อพบในเชิงพาณิชย์ มีสิทธิที่จะทำการผลิต เก็บรักษา ขนส่ง และ ขาย ปิโตรเลียมที่อยู่ในแปลงสัมปทานนั้นได้

สิทธิดังกล่าวนี้ ถ้าจะตีความให้เกิดความเข้าใจผิดว่า กรรมสิทธิ์ในปิโตรเลียมตกเป็นของผู้รับสัมปทานหมดแล้ว ซึ่งความเป็นจริงคงไม่ได้เป็นเช่นนั้น กรรมสิทธิ์ปิโตรเลียมนี้ หมายถึงอะไร.. มันส่งผลอย่างไรต่อประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพยากร

จากข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ปิโตรเลียมที่ขุดได้ในประเทศไทยภายใต้ระบบสัมปทาน แยกเป็น

ก๊าซธรรมชาติ (ผลิตได้ประมาณร้อยละ 62 ของความต้องการใช้) ที่ขุดพบทั้งหมด ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์ภายในประเทศ และซื้อ-ขาย กันในราคาที่ควบคุมโดยคณะกรรมการปิโตรเลียม ตาม มาตรา 58 แห่ง พรบ.ปิโตรเลียม เป็นผลให้ก๊าซที่ผลิตได้ภายในประเทศมีราคาถูกกว่าก๊าซที่ต้องนำเข้าอยู่มาก

ก๊าซธรรมชาติเหลว และ น้ำมันดิบ (ผลิตได้ร้อยละ 15 ของความต้องการใช้) ส่วนใหญ่ถูกใช้ป้อนโรงกลั่นและปิโตรเคมีภายในประเทศ มีเพียงส่วนน้อยที่ต้องส่งออก เนื่องจากไม่สามารถหาตลาดภายในประเทศได้ โดยการซื้อขายน้ำมันจะมีราคาอ้างอิงตลาดโลกตามคุณภาพของน้ำมันดิบ เนื่องจากรัฐเปิดโอกาสให้มีการซื้อขายเสรี แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประเทศมีความต้องการใช้ รัฐสั่งห้ามผู้รับสัมปทานส่งออกปิโตรเลียมได้ ตาม ม.60 61

ดังนั้นที่เขาบอกว่า สัมปทานไทยกรรมสิทธิ์ในปิโตรเลียมตกเป็นของเอกชน หรือ ระบบแบ่งปันผลผลิตกรรมสิทธิ์ในปิโตรเลียมเป็นของรัฐ นั้น ในทางปฏิบัติไม่ได้มีความแตกต่างกัน เพราะการดำเนินงานภายใต้สองระบบนี้เมื่อเอกชนสำรวจพบ มีสิทธิ เก็บรักษา ขนส่ง ขาย เหมือนกัน และมูลค่าปิโตรเลียมที่ขายได้ หักต้นทุนแล้ว เหลือเป็นกำไรจะแบ่งกันระหว่างรัฐและเอกชนตามกลไกของแต่ละระบบ และในกรณีที่รัฐมีความต้องการใช้ปิโตรเลียมเพื่อประโยชน์ภายในประเทศก็สามารถทำได้ตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ผู้ที่นำประเด็นนี้ไปเล่นคำ เพียงเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมในความเป็นเจ้าของทรัพยากร เรียกร้องความสนใจ เป็นการสร้างความเข้าใจผิดและเกิดกระแสต่อต้าน เกลียดชัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ระบบสัมปทานไทยและระบบแบ่งปันผลผลิต อาจมีความแตกต่างกันบ้างในหลักการและรายละเอียดของการปฏิบัติ แต่สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับศักยภาพปิโตรเลียมที่มีอยู่และนโยบายของแต่ละประเทศได้ทั้งสองระบบ แต่เหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยไม่เปลี่ยนไปใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต เนื่องจากศักยภาพปิโตรเลียมของเราแตกต่างกับเพื่อนบ้าน เราเป็นประเทศนำเข้า ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศ พม่า มาเลเซียและอินโดนีเซีย เป็นประเทศส่งออก การเริ่มต้นด้วยการเลือกใช้ระบบสัมปทานเพราะเหตุผลตามที่ได้กล่าวแล้ว คือขาดความพร้อม แม้ในเวลาต่อมาเราจะมีความรู้เพิ่มขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น แต่ในการออกสัมปทานในรอบต่อๆ มาเรากลับค้นพบปิโตรเลียมน้อยลง จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบ แม้ขณะนี้กลุ่มทวงคืนจะมีความเห็นว่า รายได้รัฐภายใต้ระบบสัมปทานไทยยังไม่เหมาะสมและคิดว่ารัฐได้ส่วนแบ่งน้อยไป ซึ่งในประเด็นนี้ถ้ามีการศึกษาข้อเท็จจริงในหลายๆ มิติแล้วเป็นเช่นนั้นจริง ก็สามารถแก้ไขเก็บเพิ่มได้ตามวิธีดังที่ได้กล่าวแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตให้ยุ่งยาก

โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการออกสัมปทาน มีมากน้อย แค่ไหน ดูได้จากอะไร?
ถ้าวัดความสำเร็จจากจำนวนแปลงที่ประสบความสำเร็จ จากทั้งหมดที่ได้ออกสัมปทานไปแล้ว 20 รอบ จำนวน 155 แปลง ผู้รับสัมปทานได้ทำการสำรวจแต่ไม่พบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ และได้คืนแปลงกลับคืนมาให้รัฐแล้วจำนวน 88 แปลง แปลงที่เหลืออยู่ในช่วงระยะเวลาสำรวจ 35 แปลง และมีแปลงที่ประสบความสำเร็จ สำรวจพบและพัฒนาจนผลิตปิโตรเลียมได้แล้ว 32 แปลง คิดเป็นร้อยละ 21 รายละเอียดของการออกสัมปทานในแต่ละรอบแสดงดังรูปนี้  
สถิติ การออกสัมปทาน

สัมปทานปิโตรเลียม มี 2 ช่วง คือ ช่วงระยะเวลาสำรวจ(กรอบสีน้ำเงิน) และช่วงระยะเวลาผลิต(กรอบสีแดง) ผู้รับสัมปทานจะต้องประสบความสำเร็จในช่วงสำรวจเสียก่อน ถึงเข้าสู่ช่วงระยะผลิตได้ แต่จากสถิติจำนวนแปลงเกือบร้อยละ 80 ไม่สามารถเข้าสู่ช่วงผลิตได้ ต้องสูญเสียเงินลงทุนสำรวจไปเปล่ารวมกันกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท

รู้แล้วอึ้ง.. คะแนนการจัดอันดับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่กลุ่มทวงพลังงานชอบอ้างถึง

เวลาคนที่มีความรู้ด้านพลังงานเลือกประเทศที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการกำกับดูแลการบริหารจัดการปิโตรเลียม เขาจะเลือกประเทศเช่น Norway ที่กระทรวงพลังงาน นำโดย พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน และคณะ พร้อมสื่อมวลชน ได้เดินทางไปยังประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ เพื่อศึกษาต้นแบบการพัฒนาพลังงานชุมชน แหล่งสำรวจก๊าซธรรมชาติ และแผนการบริหารจัดการด้านพลังงาน เมื่อวันที่ 16-21 พ.ค.ที่ผ่านมา



แต่เวลาให้คนไม่มีความรู้ด้านพลังงานเลือก เขาจะเลือกประเทศที่ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี เช่นเวเนหรือแม้กระทั่งมาเลเซีย

เชื่อคนผิด เสียใจจนตายครับ


http://resourcegovernanceindex.org/country-profiles
http://in.mobile.reuters.com/article/idINL8N1JP3V1
https://resourcegovernance.org


สถาบันกำกับดูแลการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ได้จัดทำ ranking ของการกำกับดูแลการบริหารจัดการปิโตรเลียมของแปดสิบกว่าประเทศที่ปิโตรเลียมเป็นรายได้สำคัญของประเทศ

เขามี kpi สำคัญๆหลายตัวเพื่อประเมินผล

นอร์เวย์ได้ที่หนึ่งเพราะบริหารจัดการได้ดีสุด



แต่ที่อยากเอ่ยถึงคือมาเลเซียเพราะอยากให้สมาชิก สนช. ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมาเลเซียเสียที

มาเลเซียได้อันดับที่ 27 เพราะความไม่โปร่งใสในระบบ PSC และการกระจายรายได้จากปิโตรเลียมที่ควรทำได้ดีกว่าที่เป็นอยู่อีกเยอะ

ช่วยกรุณาอ่านตามลินค์ที่แปะไว้นะครับและเลิกฟังเลิกเชื่อคนที่ไม่มีความรู้ด้านพลังงานเสียทีเถิด การปฏิรูปพลังงานไทยจะได้เดินต่อในทางที่ถูกที่ควรครับ

http://resourcegovernanceindex.org/country-profiles/MYS/oil-gas

14 คำถาม ที่คนอวย คปพ. ต้องอ่าน

14 คำถาม (อ่านแล้วลองถามใจตัวเองดู) ที่คนอวย คปพ. ต้องอ่าน



1. สมาชิกคปพ.แต่ละคนมีวุฒิการศึกษาอะไรบ้าง? มีใครเรียนจบด้านปิโตรเลียมหรือไม่? เคยทำงานในเอกชน/ภาครัฐ/ภาคการศึกษา ด้านปิโตรเลียมโดยตรง? ประสบการณ์กี่ปี? เคยทำการสำรวจ ประเมินปริมาณสำรอง สร้างแท่น เจาะหลุม ควบคุมการผลิต ที่แหล่งใดบ้าง?

2. สมาชิกคปพ.เคยบอกว่าไทยมีแหล่งขนาดใหญ่กว่าซาอุฯ คือแหล่งไหน? มีปริมาณสำรองเท่าไหร่? ทำไมบริษัทน้ำมันและกระทรวงไม่รู้ข้อมูลนี้เลย? ทำไมคนที่รู้ไม่ผลิตขึ้นมาขาย?

3. ที่เคยเสนอให้ไทยยึดสัมปทานคืนมาทำเองจะได้ใช้น้ำมันถูกๆแบบเวเนซูเอล่า วันนี้ยังยืนยันหรือไม่? เขาประสบความสำเร็จอย่างไร? ตอนนี้เจริญรุ่งเรืองขนาดไหน?

4. ทรัพย์สินที่แท้จริงของแปลงสัมปทานคืออะไร? แท่นและหลุมที่มีอยู่ หรือปริมาณสำรองใต้ดิน? เมื่อก๊าซใต้ดินหมด เอาหลุมกับแท่นไปทำอะไรได้บ้าง? ขายได้ราคาหรือไม่?

5. คปพ.บอกว่าไทยมีปิโตรเลียมมาก รัฐเรียกเก็บส่วนแบ่งน้อย บริษัทน้ำมันกำไรเยอะ ทำไมบริษัทใหญ่ๆถอนตัวจากการสำรวจและผลิตในประเทศไทย? BP Shell BG ถอนไปแล้วและ Chevron ก็กำลังประกาศขายการลงทุน ทำไมเขาไม่อยู่ตักตวงผลประโยชน์จากประเทศไทย?

6. ที่เสนอระบบจ้างผลิต มีประเทศใดเคยทำแล้วบ้าง? ขอบเขตการจ้างคืออะไร? กับพื้นที่ใด? จ่ายค่าจ้างอย่างไร? มีเงื่อนไขการลงทุนเพิ่มอย่างไร? ใครเป็นผู้รับจ้าง? ปัจจุบันยังดำเนินการอยู่หรือไม่?

7. ราคาก๊าซที่อเมริกาถูกกว่าไทยมาก จะนำมาใช้ได้อย่างไร? มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? ทำสัญญาระยะยาวได้หรือไม่? ทำไมไม่มีใครนำเข้ามา?

8. ราคาก๊าซ LNG ตอนนี้ถูกกว่าก๊าซในอ่าวไทย เงินที่จ่ายเพื่อนำเข้ามีส่วนกลับมาไทยหรือไม่? ค่าซื้อก๊าซในอ่าวไทยคืนกลับมาเป็นค่าภาคหลวงและภาษีเท่าไหร่? เป็นการสร้างเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมสนับสนุนเท่าไหร่? เป็นการจ้างงานคนไทยเท่าไหร่? ตกลงนำเข้าหรือซื้อจากผู้ผลิตในประเทศดีกว่ากัน? ถ้าหยุดผลิตมีคนตกงานมากมาย จะให้เขามาขอเยียวยาจากคปพ.ดีไหม?

9. หากสัมปทานหมดอายุไม่มีความต่อเนื่องในการผลิต ก๊าซที่จะหายไปเป็นปีไหนบ้าง? ราคานำเข้า LNG มาทดแทนจะเป็นเท่าไหร่? ราคานำเข้า LNG สูงขึ้นจะทำอย่างไร? ค่าภาคหลวงและภาษีที่หายไปเกือบ 1 แสนล้านต่อปี จะหารายได้ที่ไหนมาแทน?

10. ตามแนวทางที่คปพ.เสนอ ถ้าไม่มีบริษัทรับจ้างผลิต เราจะทำอย่างไร? ถ้าไม่ลงทุนสร้างแท่นและเจาะหลุมเพิ่ม ทำยังไงจะผลิตต่อได้? เรามีอุปกรณ์ที่จะรับ LNG มากขนาดนั้นแล้วหรือยัง? ถ้าสร้างเพิ่ม ต้องลงทุนเท่าไหร่? ใช้เวลาเท่าไหร่? ถ้าสร้างคลังรับ LNG ไม่ทัน จะเอาก๊าซจากไหนมาแทน?

11. คปพ.ยกร่างพรบ.ปิโตรเลียม ตั้งตัวเองและพรรคพวกเข้าไปเป็นกรรมการกำกับกิจการปิโตรเลียมและกรรมการบรรษัทพลังงานแห่งชาติ มีอำนาจควบคุมและใช้จ่ายเงินรายได้จากทรัพยากรของชาติแบบเบ็ดเสร็จ เป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ชงเองกินเองหรือไม่? มีความรู้และประสบการณ์จากไหน? ได้รับเลือกตั้งหรือใครแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนภาคประชาชน?

12. คปพ.ขู่ไม่รับ รธน.หาก สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม มันเกี่ยวกันตรงไหน? เป็นการจับเอาร่างรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกันใช่ไหม? เข้าข่ายผิดกม.ประชามติหรือไม่?

13. สมาชิกคปพ.ประกอบอาชีพอะไรบ้าง? มีรายได้เลี้ยงชีพอย่างไร? เคยแสดงทรัพย์สินต่อปปช.หรือสาธารณะหรือไม่? เคยสร้างผลงานและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างไร? เคยถูกปลดหรืออกจากงานหรือไม่? ได้เงินทุนมาดำเนินการรณรงค์เรื่องต่างๆจากที่ใด?

14. สมาชิกคปพ.ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีใดบ้าง? เรื่องกำลังอยู่ในศาลกี่คดี? มีใครถูกตัดสินความผิดแล้วบ้าง? และถูกลงโทษอย่างไร?

บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ : ฤาจะเป็นผู้ร้ายในคราบพระเอก???

การพิจารณารายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514


โดยมีข้อเสนอที่สำคัญคือ การให้ตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Company) ให้มีฐานะเป็นตัวแทนของรัฐ ดำเนินการเกี่ยวกับการให้สิทธิ การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอย่างเบ็ดเสร็จและครบวงจร คณะกรรมาธิการได้เสนอให้มีการตรากฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ ให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติเป็นผู้มีสิทธิเพียงรายเดียวในการสำรวจและให้สิทธิเกี่ยวกับปิโตรเลียม ในการดำเนินการบริหารจัดการปิโตรเลียมและการบังคับบริษัทเอกชนในฐานะคู่สัญญา

นอกจากนั้นยังกำหนดให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติมีสภาพนิติบุคคลและมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เพื่อให้การบริหารจัดการสัญญาที่เกี่ยวกับปิโตรเลียมไม่อยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการพัสดุของส่วนราชการ หรือกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐ

บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ จะเป็นผู้ถือสิทธิทรัพยากรปิโตรเลียมแทนรัฐในการสำรวจและแสวงหาประโยชน์จากปิโตรเลียม ควบคุมดูแลระบบการสำรวจและแสวงหาประโยชน์ในปิโตรเลียมทั้งหลาย และมีหน้าที่ในการบริหารสัญญาสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต และสัญญาจ้างผลิต

หากพิจารณาตามข้อเสนอดังกล่าว จะเห็นได้ว่าได้มีการรวมเอาบทบาทของทางราชการในฐานะผู้ให้สิทธิการสำรวจ ผู้กำกับดูแล และผู้ปฏิบัติการเอาไว้ในองค์กรเดียวกัน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาลและการจัดการที่ดี นอกจากนั้นองค์กรดังกล่าวยังเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาติเป็นจำนวนเงินมากมายมหาศาล ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท


ที่มาภาพ น้องปอสาม

คำถามคือ การบริหารจัดการองค์กรดำเนินการอย่างไร โดยใคร ตรวจสอบอย่างไร มีความโปร่งใสแค่ไหน ที่มาของผู้บริหารเป็นอย่างไร ประสิทธิภาพขององค์กรจะวัดกันอย่างไร รายงานต่อใครและรับผิดชอบต่อใคร

ซึ่งผมเชื่อว่าในประวัติศาสตร์ของการบริหารจัดการองค์กรภาครัฐ องค์กรที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในตัวเองมากขนาดนี้ ใหญ่โตขนาดนี้ มีผลประโยชน์มากมายขนาดนี้ น่าจะยังไม่เคยมีมาก่อน และไม่น่าเชื่อว่าจะบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นี่พูดกันแค่เรื่องของการบริหารจัดการองค์กรเท่านั้นนะครับ ยังไม่ได้พูดกันถึงเรื่องของหลักการว่า การมีบรรษัทน้ำมันแห่งชาติมาดูแลการจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมของชาติเบ็ดเสร็จแบบนี้เป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่

จะทำให้เสียบรรยากาศการลงทุนและเกิดการผูกขาดโดยภาครัฐหรือไม่
ซึ่งในหลายประเทศพบว่า บรรษัทน้ำมันแห่งชาติบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ ประสบความล้มเหลว และเป็นบ่อเกิดของการคอร์รัปชัน

ดังนั้น ผมจึงวิตกว่าคณะกรรมาธิการพลังงาน สนช. กำลังจะเสนอให้มียักษ์ในตะเกียงวิเศษตัวใหม่ขึ้นมา ซึ่งถ้าบริหารหรือควบคุมไม่ดีก็จะสร้างปัญหาและผลเสียอย่างมหาศาลให้กับวงการพลังงานของประเทศ

จึงอยากเตือนให้ระวังให้ดี เพราะถ้าเผลอปล่อยยักษ์ตัวนี้ออกจากตะเกียงเมื่อไร แล้วมันไม่ยอมกลับเข้าไป

จะมาหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้นะครับ!!!.

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/tpd/2188059

นักวิชาการมองสัมปทานปิโตรฯต้องผลิตต่อเนื่อง บรรษัทพลังงานแห่งชาติไม่จำเป็น

นักวิชาการแนะรัฐบาลเร่งต่ออายุสัมปทานที่กำลังหมดอายุลงในปี 2565-2566 หวั่นล่าช้ากระทบความมั่นคงด้านพลังงาน

ขอบคุณภาพจาก INN

วันนี้ (22มิ.ย.59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานสัมมนาให้ความรู้สื่อมวลชน หัวข้อ “ผลกระทบและทางออกสัมปทานปิโตรเลียมหมดอายุ” ซึ่งจัดขึ้นโดย สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ นักวิชาการด้านพลังงาน ได้เสนอให้ภาครัฐเร่งต่ออายุสัมปทานปิโตรเลียม ที่กำลังหมดอายุลงในปี 2565 -2566 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการผลิต เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในหลายอุตสาหกรรม และเป็นหัวใจหลักของพลังงานไทย

ด้านนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยร้อยละ 60 มาจากแหล่งสัมปทานในอ่าวไทยที่กำลังจะหมดอายุ ดังนั้น หากการผลิตไม่ต่อเนื่องจะส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานที่ผ่านมา ภาครัฐจึงได้อนุมัติให้สร้างคลัง แอลเอ็นจี เพิ่ม เพื่อรองรับการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีในอนาคต หากการเปิดประมูลสัมปทานรอบใหม่ล่าช้า

นายธิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า อุตสาหกรรมต้นน้ำการผลิตก๊าซธรรมชาติ มีความจำเป็นสำหรับประเทศไทยที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางในการต่ออายุเป็นรูปแบบใดนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการผลิตที่ต่อเนื่อง และเพียงพอต่อความต้องการ การให้ผลตอบแทนรัฐ ไม่จำเป็นเท่ากับการมีทรัพยากรที่เพียงพอกับการนำไปใช้

อย่างไรก็ตาม มองว่าการตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ อาจไม่จำเป็น เพราะจะมีภาระต้นทุนโดยไม่มีรายได้ เพราะประเทศไทยผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อการส่งออกน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตเพื่อใช้ในประเทศ โดยมีรัฐบาลเป็นเจ้าของ จึงไม่จำเป็นต้องมีบริษัทน้ำมันแห่งชาติ

ทั้งนี้ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย สร้างรายได้ให้กับประเทศกว่า 600,000 ล้านบาทต่อปี หรือ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6 ต่อจีดีพี หากก๊าซในอ่าวไทยมีปริมาณลดลงจะเกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมี ดังนั้นบริษัทในเครือปตท. จึงเร่งศึกษาการนำแนฟทาแคล็กเกอร์ มาใช้ทดแทน ได้แก่ ก๊าซ แอลเอ็นจี น้ำมันเตา และ น้ำมันดีเซล ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าแพงขึ้น และส่งผลต่อราคาไฟฟ้าของประเทศ
ทั้งนี้ แหล่งสัมปทานที่กำลังจะหมดอายุในปี 2565-2566 ทั้งเอราวัณ และบงกช จะมีกำลังการผลิตลดลงเนื่องจากผู้รับสัมปทานรายเดิมจะไม่มีการลงทุนเพิ่ม เพราะไม่คุ้มทุน ดังนั้นในปี 2564 จะเป็นช่วงที่มีความสุ่มเสี่ยงด้านความมั่นคงทางไฟฟ้า หากไม่สามารถเปิดประมูลสัมปทานต่ออายุสัมปทานได้ภายในปีหน้า

ที่มา สำนักข่าว, INN TNN24


ความเป็นมา พรบ ปิโตรเลียม ของไทย ที่ไม่ได้มาจากชาวต่างชาติ

เรื่อง “สัมปทานปิโตรเลียม-พ.ร.บ.ปิโตรเลียม” นั้น ในไทยตอนนี้ยังเป็นอีกเรื่องที่ดูจะอึมครึม? ต้องตามดูว่าจะอย่างไรแน่? อย่างไรก็ตาม ย้อนดู ’ความเป็นมา พ.ร.บ.ปิโตรเลียมของไทย“ ก็มีแง่มุมที่น่าคิด...



ทั้งนี้ การบุกเบิกสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในไทยนั้น ประคอง พลหาญ คือหนึ่งในผู้ที่มีส่วนสำคัญ โดยเคยเป็นข้าราชการที่ทำงานเรื่องนี้ ซึ่งบุคคลผู้นี้เป็น 1 ใน 3 คนไทยที่ได้ทุนสหภาพโซเวียตไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยมอสโก โดยจบปริญญาตรีและโท ด้านธรณีวิทยา-ปิโตรเลียม จบเทียบเท่าปริญญาเอกด้านเคมี-ปิโตรเลียม เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรียุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และเคยเป็นอนุกรรมการ ป.ป.ช.ด้วย

เมื่อบุคคลผู้นี้เรียนจบจากมอสโก พจน์ สารสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติในขณะนั้น ได้มอบหมายให้ทำเรื่องกฎหมายปิโตรเลียม สัมปทานสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม ...นี่เป็นจุดเริ่ม “พ.ร.บ.ปิโตรเลียม” ในไทย...

ในปี 2507 เริ่มมีบริษัทน้ำมันสนใจขอสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในไทย ซึ่งกระทรวงพัฒนาการฯ ต้นสังกัดกรมทรัพยากรธรณีที่ ประคอง ทำงานอยู่ เห็นว่าควรประกาศให้บริษัทต่าง ๆ แข่งขันกัน โดยมี กติกาที่เป็นสากล จึงตั้งคณะกรรมการวางหลักเกณฑ์ขอสำรวจ โดยมี รมว.พัฒนาการฯ เป็นประธาน ซึ่งได้จัดทำหลักเกณฑ์ขึ้นโดยศึกษากฎหมายปิโตรเลียมในประเทศอื่น ๆ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้เห็นชอบในเดือน ก.ย. 2508

ต่อมาคณะกรรมการฯ เห็นว่าควรมีรายละเอียดเพิ่ม เช่น การคิดมูลค่าที่ใช้เก็บค่าภาคหลวง-ภาษีเงินได้ การแบ่งผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับผู้ประกอบการ ทางกระทรวงพัฒนาการฯจึงขออนุมัติ ครม. และได้รับอนุมัติในเดือน เม.ย. 2509 ให้จ้างบริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่ปรึกษากำหนดรายละเอียดร่วมกับคณะกรรมการฯ

จนเป็นที่มา “พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514”

นอกจากนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้ขอผู้เชี่ยวชาญจากกรมสรรพากร กรมอุทกศาสตร์ ได้รวมคนเก่งหลายสาขาร่างเงื่อนไข “สัมปทานปิโตรเลียม” ที่รัฐได้ผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมมากที่สุด ขณะเดียวกันก็อำนวยความสะดวกเอกชน ดึงดูดให้ต่างชาติสนใจลงทุน และยอมรับความเสี่ยงกรณีที่สำรวจไม่พบปิโตรเลียม

“มีการแบ่งแปลงพื้นที่สำรวจ... พื้นที่แปลงสำรวจที่เปิดให้สัมปทานส่วนใหญ่อยู่ในอ่าวไทย ซึ่งรอบแรกที่เปิดประมูลสัมปทาน มีบริษัทต่างชาติที่ได้รับสัมปทาน 6 บริษัท...” ...ทาง ประคอง ให้ข้อมูลไว้ ซึ่งในช่วงแรก ๆ ของการขุดสำรวจปิโตรเลียมในไทยนั้น จะเน้นที่การค้นหา น้ำมัน เป็นหลัก จะไม่ค่อยได้สนใจ ก๊าซธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้จึงมีการเผาก๊าซทิ้งเสียของไปมาก ซึ่ง ประคอง ได้เสนอการไฟฟ้าให้รับซื้อก๊าซเพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า หรือนำไปเป็นก๊าซหุงต้มขายให้ประชาชนใช้ในราคาถูก และภายหลังก็มีการสร้างท่อก๊าซจากอ่าวไทยมาที่โรงแยกก๊าซบนบก มีการตั้ง องค์กรก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทย รับซื้อก๊าซผลิตไฟฟ้า และบรรจุถังเป็น LPG ขาย โดยต่อมาองค์กรนี้ได้ยุบรวมตั้งเป็น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท. ในปี 2521

ทั้งนี้ หลังเปิดสัมปทานครั้งแรก ก็ ทำให้ไทยเข้าสู่ยุคโชติช่วงชัชวาล มีก๊าซผลิตไฟฟ้า มีก๊าซหุงต้มราคาถูก และ เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านปิโตรเคมี อย่างก้าวกระโดด นำสู่โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด แหล่งนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมฯมาตาบพุด นิคมฯระยอง ที่ปัจจุบันมีมูลค่าส่งออกสินค้าหลายล้านล้านบาท

สำหรับกองงานที่ ประคอง พลหาญ รับผิดชอบ ก็พัฒนาขึ้น โดยแยกออกเป็นกองเชื้อเพลิงธรรมชาติ ปัจจุบันได้ยกระดับเป็นกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ขณะที่บุคคลผู้นี้ก็ยังมีบทบาทในฐานะอาจารย์ วางรากฐานการสร้างบุคลากรด้านเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาเหมืองแร่ และปิโตรเลียม, คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นผู้จดทะเบียน สมาคมธรณีวิทยาแห่งประเทศไทย เพื่อให้ความรู้ วิชาการ ยกระดับมาตรฐานวิชาชีพธรณีวิทยา

ประคอง เล่าไว้ว่า... ยุคนั้นก็มีการพิจารณาระบบอื่น เช่น แบ่งปันผลผลิต แต่เมื่อศึกษา-ดูเหตุผลต่าง ๆ ในช่วงนั้น ก็พบว่าสัมปทานเป็นระบบที่เหมาะสมที่สุด เพราะ รัฐไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเสี่ยง และเป็นการดึงดูดต่างชาติมาลงทุน เกิดการใช้จ่าย จ้างงาน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังมีการนำเข้าและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่คนไทย โดยมีเพียงเงื่อนไขสำคัญคือ รัฐบาล ภาครัฐ ดูแลควบคุมบริษัทที่ได้สัมปทานให้ดำเนินการอย่างถูกต้อง

ส่วนการสำรวจปริมาณปิโตรเลียมสำรองในการเปิดสัมปทานรอบต่อไป กองเชื้อเพลิงธรรมชาติในช่วงนั้นได้ว่าจ้างบริษัทสำรวจรวมข้อมูลจากบริษัทต่าง ๆ ที่ได้สัมปทาน ซึ่งเบื้องต้นพบว่าปริมาณสำรองปิโตรเลียมของไทยนั้นมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นแหล่งก๊าซมากกว่าน้ำมัน อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ หากเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ กระตุ้นให้มีการค้นหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ ๆ ก็อาจจะพบปริมาณสำรองที่มากขึ้น

ทั้งนี้ ต่าง ๆ เหล่านี้ก็น่าจะบ่งชี้ว่า... "พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514" มิใช่กฎหมายที่กำเนิดจากการกะเกณฑ์โดยต่างชาติ มิใช่ใบเบิกทางให้ต่างชาติเข้ามาปล้นทรัพยากรหรือผลประโยชน์ในประเทศไทย เป็น พ.ร.บ.ที่ตัดสายสะดือทำคลอดโดยคนไทย เพื่อผลประโยชน์ไทย แล้วผ่านการแก้ไขจนทันสมัย...
เป็น ’กติกาสากล“ ที่ยอมรับกันทั่วโลก!!.

ที่มา เดลินิวส์

สุดมั่วเรื่องบทความฉะวงการพลังงานสุดฉ้อฉล คิดจะฉะ ข้อมูลยังผิด

สุดมั่วเรื่องบทความฉะวงการพลังงานสุดฉ้อฉล คิดจะฉะ ข้อมูลยังผิด


ระบบจัดเก็บรายได้สัมปทานไทย จากกิจกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มี 2 ระบบ คือ

  • ระบบ Thailand I เก็บค่าภาคหลวง(12.5%) และ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (50%) บังคับใช้กับแปลงสำรวจที่ออกให้ไปในช่วงปี  2514-2532 และบังคับใช้มาถึงปัจจุบันกับแปลงที่ยังดำเนินงานอยู่ซึ่งทุกแปลงอยู่ในช่วงผลิต
  • ระบบ Thailand III เป็นกฎหมายปัจจุบัน ได้จากการ แก้ไข ปรับปรุง พ.ร.บ. ปิโตรเลียม ในปี 2532 (ไม่ใช่รัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ นะครับ) บังคับใช้กับแปลงสำรวจที่ออกภายหลังปี 2532 โดย เก็บค่าภาคหลวง(5-15%) เงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ(SRB) (0-75%) และ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม(50%)


จากทั้งสองภาพที่นำมาเสนอ กล่าวสรุปได้ว่า รัฐมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นกับแหล่งขนาดเล็กทำให้สามารถพัฒนาได้ในเชิงพาณิชย์ และจะเก็บรายได้เข้ารัฐเพิ่มมากขึ้นเมื่อพบแหล่งขนาดใหญ่ หรือ โครงการมีกำไรเกินควร และถ้าดูเฉพาะตัวเลขค่าภาคหลวงในระบบ Thailand III รัฐเก็บได้ 11.9% จากมูลค่าปิโตรเลียมที่ขาย ดังนั้น ที่กล่าวว่ารัฐจัดเก็บจริงได้เพียง 7% จึงไม่เป็นความจริง


เมื่อกล่าวถึง ระบบการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ ภาพรวม รายได้รัฐต่อรายได้บริษัท ในแต่ละโครงการของทั้งสองระบบ โดยโครงการที่อยู่ในระบบ Thailand III ตัวเลขแสดงด้วยสีแดงและชื่อโครงการอยู่ในกรอบสีน้ำเงิน จากภาพแสดงให้เห็นว่า แม้ระบบจัดเก็บที่ได้รับการแก้ไขในปี 2532 เพื่อให้เก็บได้มากขึ้น แต่ในความเป็นจริง แปลงที่ออกให้ไปหลังปี 2532 กลับพบปิโตรเลียมน้อยมาก พบเพียงแหล่งขนาดเล็ก มีเพียงโครงการเดียวที่เข้าข่ายแหล่งขนาดกลางถึงใหญ่ คือ โครงการทานตะวัน-เบญจมาศ ซึ่งผลดำเนินงาน รายได้รัฐต่อรายได้บริษัท อยู่ที่ 69:31 ตามรูปนี้


เปิดสัมปทานไปแล้ว 20 รอบ ไม่รู้ว่าปริมาณ น้ำมัน และ ก๊าซ ที่ขุดเจาะกันไปนั้น ไม่มั่นใจว่าเป็นตัวเลขจริงหรือไม่ ภาคประชาชนต้องเข้าไปตรวจสอบได้... ตั้งข้อสังเกตุว่า สัมปทานมีช่องโหว่ โดยได้ส่งคนไปอัดวีดีโอ เช็ครถ และ เรือ ที่ขนน้ำมัน คำนวณดูแล้วแตกต่างจากตัวเลขที่ทางราชการรายงาน

การผลิตก๊าซที่มีความดันสูง ระบบการผลิตจากหลุมผลิตจนถึงจุดซื้อขายเป็นระบบปิด ไม่มีการลักลอบไปไหนได้ และแต่ละจุดมีมาตรวัดปริมาณ ตรวจสอบได้ทุกเวลา มีบันทึกต่อเนื่อง มีมาตรฐานรองรับ

การผลิตน้ำมันดิบ จากหลุมผลิต ผ่านกระบวนการผลิต เก็บเข้าถังหรือเรือกักเก็บ มีการตรวจวัดปริมาณการผลิต ปริมาณกักเก็บสะสม ทุกวัน มีมาตรฐานรองรับ มีการตรวจวัดปริมาตรในถังกักเก็บ ก่อนและหลังซื้อขาย รถขนส่งมีการตรวจสอบก่อนออกจากแหล่ง และ ก่อนเข้าโรงกลั่น มีระบบจีพีเอสติดตาม สำหรับในทะเล เรือขนถ่ายที่จะเข้ามารับน้ำมันจากเรือกักเก็บ จะต้องได้มาตรฐานเรื่องความปลอดภัย การขนถ่าย มีหลายหน่วยงานที่ต้องเกี่ยวข้องโดยเฉพาะถ้าต้องส่งออกและมีเจ้าหน้าที่รัฐกำกับดูแลในเรื่องปริมาณขนถ่าย ทั้งหมดที่กล่าวมารายละเอียดอ่านได้ตามลิงค์ สงสัยสอบถามได้ครับ

ลิงค์ กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 ว่าด้วยเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการผลิตปิโตรเลียม
http://law.dmf.go.th/detail.php?lan=th&itm_no=I673760911

การผลิตปิโตรเลียม มีมาตรฐานสากลรองรับ เช่น AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE (API) และ AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS (ASTM) ทั้งวิธีการ ติดตั้ง ตรวจสอบ มาตรวัด ปริมาณก๊าซ และ น้ำมัน มีหลักเกณฑ์วิธีการ เขียนไว้ชัดเจนแล้ว ต้องอ่านนะครับถึงจะรู้ แค่ฟังเขาว่ามา คงไม่ได้แล้ว และการนั่งนับรถบรรทุกวิ่งเข้าวิ่งออกโดยไม่รู้ว่าเขาบรรทุกอะไร น้ำหรือน้ำมัน บรรทุกไปไหน การเอาเรือไปเฝ้าสังเกตุการ มีความน่าเชื่อถือหรือ....

สถานที่ประกอบกิจการ เป็นเขตปลอดภัย คงไม่ปล่อยให้ใครก็ได้เดินเข้าไปตรวจสอบเอง ประชาชนหลายล้านคน ถ้าเกิดสงสัยกันหมด คงวุ่นวายน่าดูครับ ผมว่าถ้าต้องการตรวจสอบจริง แนะนำให้ทำหนังสือแจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบ ขอเข้าไปดูน่าจะเป็นประโยชน์กว่าครับ


อันนี้เป็นลิงค์ การจัดหาปิโตรเลียม เขาไม่ได้ปกปิดนะครับ แต่การนำไปใช้ต้องมีความเข้าใจด้วย เดี๋ยวตัวเลขจะไม่ตรงกันอีก ที่ยกมานี้ เป็นตัวเลขซื้อขาย จะน้อยกว่า ตัวเลขผลิตอยู่นิดหน่อย....
http://www.dmf.go.th/index_pad.php?act=service&sec=yearSupply  

อุปกรณ์ วัสดุเหล็กทุกท่อนที่ประกอบเป็นแท่น ในระบบสัมปทานไม่ได้เป็นของประเทศไทย ไม่เหมือนระบบต่างประเทศที่ตกเป็นของรัฐ ดังนั้น เมื่อหมดสัญญาสัมปทานรัฐจะทำเองก็ไม่ได้เพราะเขาถอนอุปกรณ์ทั้งหมดกลับไป เราต้องเริ่มใหม่

กฎกระทรวงฉบับที่ 17 ในแบบสัมปทาน ระบุไว้ชัดเจนแล้ว สรุป สั้นๆ ว่า เมื่อสิ้นระยะเวลาผลิต หรือ สิ้นสุดสัมปทาน อุปกรณ์ทุกอย่างที่รัฐต้องการจะตกเป็นของรัฐเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปครับ ส่วนอุปกรณ์ที่รัฐไม่ต้องการ ผู้รับสัมปทานมีหน้าที่ต้องทำการรื้อถอนออกไป ดังนั้น สิ่งที่กล่าวในเนื้อข่าวจึงไม่เป็นความจริง

http://law.dmf.go.th/detail.php?lan=th&itm_no=I488122220
กทธ/ป2  ข้อ 15

ส่วนเรื่องการอ้างไปถึงว่าเป็นการให้เอกชนมีรายได้เยอะทำให้รายได้รัฐน้อยก็ไม่เป็นจริงอีก

ผลกำไร ขาดทุน ของโครงการหนึ่งๆ มันขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง? แน่นอน ต้องขึ้นอยู่กับ รายได้ ซึ่งเกิดจากปริมาณและชนิดของปิโตรเลียมที่ผลิตได้คูณกับราคาที่แปรผันไปตลอดเวลา รายจ่ายที่เป็นเงินลงทุนตามความยากง่าย แตกต่างกันไป ดังนั้น ในแต่ละโครงการจึงมีผลกำไร ขาดทุน แตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยดังกล่าว ที่นี้ถ้ามาพูดถึง รายได้รัฐ ที่แบ่งเอาจากค่าภาคหลวงโดยไม่สนว่าโครงการจะมีกำไรหรือไม่ ภาษีปิโตรเลียมจากกำไรสุทธิ และ เงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ(SRB) เรียกเก็บจากกำไรเกินควรซึ่งบางโครงการก็มีบางโครงการก็ไม่มี รายได้ของรัฐจาก 3 รายการนี้ มีรายละเอียดในการเรียกเก็บแตกต่างกันไปในแต่ละโครงการขึ้นอยู่กับสถานะของโครงการ ดังนั้น เมื่อรวมรายได้รัฐจากโครงการต่างๆ ไม่มีทางที่จะออกมาตรงกันได้ จะแตกต่างกันไปตามสภาพของปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น

จึงสรุปได้ว่า รายได้รัฐ ต่อ กำไรบริษัท ภายใต้ระบบ Thailand III ไม่จำเป็นต้องออกมาตรงกันทุกโครงการ แต่ต้องออกมาในลักษณะที่ รัฐได้มากกว่า มากกว่าเท่าไร ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ได้กล่าวมาแล้ว ดังตัวอย่างที่แสดงในภาพ


ความมั่วของบทความ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000032804

'บิ๊กตู่' จี้ คปพ. รับผิดชอบหากคนไทยต้องซื้อก๊าซแพง

'บิ๊กตู่' จี้ คปพ. รับผิดชอบหากคนไทยต้องซื้อก๊าซแพง



เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ตอนหนึ่งเกี่ยวกับกรณีที่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) อนุมัติแนวทางบริหารจัดการแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมที่จะหมดอายุในปี 2565-2566 ได้แก่ แหล่งบงกช และแหล่งเอราวัณ ว่า เป็นแหล่งก๊าซที่สำคัญในประเทศ แต่ปริมาณไม่มาก ได้อีกไม่กี่ปี ถ้าหมดสัมปทานไปแล้วและไม่มีการทำต่อเลย อาจจะหมดในระยะต่อไป แต่ถ้าระหว่างนี้เราต่ออะไรกันไม่ได้สักอย่าง สัมปทานก็ไม่ได้ ประมูลก็ไม่เอา แล้วจะไปขุดเจาะเองบริษัทยังไม่มี เครื่องมือสักชิ้นยังไม่มีเลย เขาหมดอายุก็ไล่เขาออกไปให้หมด มันไล่ไม่ได้ เรายังไม่เข้มแข็งเพียงพอ ขอถามว่าถ้าหายไปกว่า 2 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ก๊าซอันนี้คือก๊าซที่ใช้ในประเทศก็ต้องไปซื้อข้างนอกมาเพิ่ม วันนี้หลายประเทศเขาปิดท่อบ้าง ขายลดลงบ้าง แล้วจะเอาก๊าซที่ไหนใช้ พลังงานจะมาจากไหน จะมาบอกว่าขุดเอง ใช้เอง กำหนดราคาเอง โดยไม่ต้องถูกควบคุมเลยราคาโลกหรือ เพราะทุกประเทศขุดเจาะมาแล้วมาขายในราคาตลาดโลก เพียงแต่ว่าที่คนเขาใช้ได้ถูกเพราะประเทศเขาเอาเงินอุดหนุนใส่เข้าไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า มาบอกว่าเรามีก๊าซเยอะ ถ้าเยอะเขามารุมเจาะแล้ว ไม่ต้องมาจ้าง เขามีข้อมูลทั้งโลกว่าตรงไหนยังไง ไม่ใช่ว่าพูดส่งเดช ในประเทศไทยแหล่งก๊าซ แหล่งน้ำมัน เป็นกระเปาะ ๆ เล็ก ๆ จะขุดเองให้สิ้นเปลืองทำไมลงทุนสูง แต่ละหลุม แต่ละบ่อใช้เงินเป็นพัน ๆ ล้านบาท ถ้าเจาะไปแล้วไม่เจอถึงต้องเจาะ 10 ปี 20 ปีตรงนี้คือสัมปทาน วันนี้ต้องเข้าใจกัน บอกว่าเราจะไม่ให้เจรจา ไม่ต่อสัมปทาน แล้วไปประมูลเดี๋ยวก็หาว่าเอื้อประโยชน์อีก ทางเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) จะให้ทำอะไร วันหน้าประกาศไว้เลย ถ้าทำอะไรไม่ได้ แหล่งบงกช กับแหล่งเอราวัณ คปพ.กรุณามารับผิดชอบด้วย ประชาชนก็ไปเล่นงานเอาแล้วกัน เพราะเขาเป็นคนทำให้ท่านต้องซื้อก๊าซแพงขึ้น เพราะต้องไปซื้อต่างประเทศมาผลิตมากขึ้น คิดบ้างหรือเปล่า

“ผมมีเวลา 1 ปีเท่านั้นที่เขาจะลงทุน หรือไม่ลงทุน ปีหน้าผมถามท่านตั้งบริษัทขุดเจาะน้ำมันเองทันไหม มีเทคนิเชียลพอไหม ก็ไม่มีทั้งนั้น เพราะไม่เคยเตรียมไว้เลย แต่อาจจะถูกก็ได้ที่ไม่เตรียมอะไร เพราะแหล่งพลังงานเราน้อย ลงทุนพวกนี้อาจจะไม่คุ้ม ต้องมามองปัญหาของเราด้วย หลายคนต้องการน้ำ แต่สร้างเขื่อนไม่ได้ หลายคนต้องการแก๊ส แต่ขุดเจาะไม่ได้ หลายคนต้องการพลังงานสะอาด แต่ไม่ให้สร้าง หลายคนอยากสะอาด ไม่ต้องการให้มีขยะ แต่สร้างโรงขยะไม่ได้ แล้วจะไปยังไงล่ะกลับมาโทษว่ารัฐบาลทำอะไรไม่สำเร็จ นี่ไงความไม่เข้าใจ อยู่ที่อะไร การรับรู้ ใช่ไหม การเรียนรู้ จิตสำนึก เยอะแยะไปหมด คนเลวก็เยอะ ที่ชักชวนให้เสียหายอยู่วันนี้”นายกรัฐมนตรี กล่าว.

การประมูลแปลงสัมปทานปิโตรเลียม...กับ คลื่นความถี่

การประมูลแปลงสัมปทานปิโตรเลียม... สัมปทานปิโตรเลียม ต่างจากสัมปทานอื่นๆ เช่น สัมปทานคลื่นความถี่ สัมปทานป่าไม้ สัมปทานเดินรถ เป็นต้น ต่างกันตรงการมีอยู่ของตัว “ทรัพยากร” ที่รัฐให้สิทธิเอกชนไปลงทุนและบริหารจัดการทรัพยากร นั้น (คลื่น ป่าไม้ และ เส้นทางเดินรถ) แทนรัฐ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ผลกำไรที่เกิดขึ้นก็จะนำมาแบ่งกัน ระหว่างรัฐกับเอกชน การคัดเลือกเอกชน จึงทำได้โดยการแข่งขันเสนอผลประโยชน์ให้รัฐ ใครเสนอให้รัฐมากกว่าก็ชนะการประมูลได้สัมปทานบวกทรัพยากรไปบริหารจัดการ



สัมปทานปิโตรเลียม ออกให้เพื่อ “การลงทุนสำรวจหาทรัพยากร” รัฐไม่ได้รับประกันว่าจะมีปิโตรเลียมอยู่ภายในแปลงสัมปทานนั้น เอกชนต้องลงทุนสำรวจหาให้พบเองโดยแบกรับความเสียงฝ่ายเดียว ถ้าไม่พบก็คืนแปลงกลับคืนให้รัฐพร้อมข้อมูลการสำรวจ (รัฐได้รับผลการสำรวจและข้อมูลดิบมาแบบฟรีๆ แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่ม ที่เรียกร้องให้รัฐเสียเงินลงทุนสำรวจเอง) สัมปทานก็สิ้นสุดลง ไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีรายได้เกิดขึ้น การแข่งขันเสนอรายได้ให้รัฐในปริมาณมากๆ ก็ไร้ประโยชน์ถ้าสำรวจไม่พบ ความสำคัญจึงอยู่ที่ผลการสำรวจมากกว่า ซึ่งวัดได้จากปริมาณงานและปริมาณเงินลงทุนสำรวจ ยิ่งมาก ยิ่งดี ยิ่งมีโอกาสสำรวจพบปิโตรเลียมมากขึ้น และในกรณีสำรวจพบมีการพัฒนา ผลิตปิโตรเลียมขึ้นมา มีรายได้ รัฐสามารถควบคุมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรภายในประเทศได้ และแบ่งผลประโยชน์จากมูลค่าปิโตรเลียมนั้น ตามที่ระบุไว้ในกฎหมายอย่างเหมาะสมเป็นธรรม บังคับใช้กับเอกชนทุกราย ทุกแปลงสำรวจ ไม่ต้องเจรจาต่อรองใดๆ จึงไม่ต้องการอำนาจในการต่อรองผลประโยชน์ ลดช่องทางทุจริต แต่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจในการกำกับดูและควบคุมอย่างใกล้ชิดในการดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ

การคัดเลือกเอกชน จึงต้องทำการแข่งขัน โดยดูที่ปริมาณงานและปริมาณเงินลงทุนสำรวจ เพราะแสดงถึงศักยภาพ ความสามารถ ความพร้อม และความตั้งใจ ในการสำรวจหาปิโตรเลียมของเอกชนแต่ละราย ประเทศอื่นๆ ที่ใช้ระบบสัมปทาน ก็ใช้วิธีนี้ในการคัดเลือกเอกชน เช่น ประเทศแคนาดา เป็นต้น จึงไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ หรือ ปล่อยให้ผูกขาด

ถ้าเกรงว่า จะมีพวกมามั่วหรือนายหน้า เสนอปริมาณงานและเงินลงทุนมามากๆ เพื่อหวังผลชนะ แล้วจะเอาไปขายทอดตลาด เปลี่ยนมือทำกำไร ต้องขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปริมาณเงินลงทุนจะแปรผันตามปริมาณงานและจำนวนที่เสนอแข่งขันเข้ามาในช่วง 3 ปีแรก จะกลายเป็นข้อผูกพันตามสัญญาสัมปทานที่ต้องปฏิบัติตาม และต้องให้เงินประกันไว้กับรัฐด้วย ถ้าไม่ทำตามข้อผูกพันหรือทำงานไม่ครบจะถูกริบเงินประกัน ดังนั้นไม่ต้่องห่วงเรื่องการเบี้ยวงาน ส่วนการขายทอดตลาด เปลี่ยนมือ เปลี่ยนผู้ร่วมลงทุน ไปจนถึงเปลี่ยนผู้รับสัมปทาน สามารถทำได้ ตามข้อกฎหมาย ถ้าเป็นการระดมทุน แต่ไม่เห็นว่าจะทำได้ง่าย โดยเฉพาะขายเพื่อทำกำไร เพราะแปลงสัมปทานในช่วงสำรวจมีแต่ต้องเสียเงินลงทุน ไม่รู้ว่าจะพบหรือไม่ มีความเสี่ยงสูง แต่ถึงอย่างไรถ้ามีการเปลี่ยนแปลงผู้ลงทุน ก็ต้องไม่กระทบต่อสัญญาที่ทำไว้กับรัฐ และต้องได้รับการอนุมัติจากภาครัฐก่อนด้วย

ขั้นตอน วิธีการ...
การออกสัมปทานปิโตรเลียม ดำเนินการโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จะเป็นผู้กำหนดขอบเขต พื้นที่แปลงสำรวจ ซึ่งพิจารณาจากผลการศึกษาข้อมูลการสำรวจของแปลงสัมปทานเดิมที่เคยออกสัมปทานไปในหลายๆรอบที่ผ่านมา พื้นที่ใดมีโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจ พอที่จะมีศักยภาพปิโตรเลียม น่าจะต้องเจาะลงไปพิสูจน์ทราบว่ามีปิโตรเลียมอยู่หรือไม่(ชั้นตอนนี้ใช้เงินลงทุนสูงมาก รัฐไม่ควรเสี่ยงเจาะเอง) ก็จะกำหนดขอบเขต ตีแปลงให้ครอบคลุม ออกมาเป็นพื้นที่แปลงสำรวจ และนำออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา จากนั้น ก็จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เปิดประมูลให้เอกชนเข้ามายื่นซอง และจะคัดเลือก หาผู้ชนะ และนำเสนอผ่านคณะกรรมการปิโตรเลียม รัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี. เพื่ออนุมัติ และออกสัมปทานปิโตรเลียมต่อไป(ตามภาพด้านบน)

ในกรณีผู้ประมูลไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของแปลงใด และเพื่อให้เกิดการสำรวจในแปลงนั้น หน่วยงานรัฐอาจเรียกผู้ประมูลมารับข้อเสนอปรับเพิ่มปริมาณงานและปริมาณเงินลงทุน ให้ได้ขั้นต่ำ ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่เป็นการเจรจาต่อรองใดๆ ถ้าผู้ประมูลยอมรับเกณฑ์ขั้นต่ำ ก็จะผ่าน ได้เป็นผู้รับสัมปทาน ก็จะสามารถทำการสำรวจในแปลงนั้นได้ เป็นผลดีต่อประเทศ ดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไป แล้วนำมาเปิดใหม่ในรอบต่อมาซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี

บริษัทน้ำมันทั้งในและต่างประเทศที่มีคุณสมบัติ หรือ กลุ่มคนที่สนใจ ก็ขอเชิญชวนให้เตรียมตัวเข้ามายื่นซองประมูลได้แล้วนะครับ ใกล้เวลาที่สัมปทานรอบที่ 21 จะกลับมาแล้ว หลังจากต้องหยุดชะงักไป 3 เดือน เพื่อรอการตัดสินใจของรัฐบาล ช่วยๆ กันครับ สำหรับคนไทยที่พอจะมีเงิน มาช่วยกันเอาแปลงสัมปทานไปสำรวจ เอาไปทำเอง เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงดีกว่านั่งคิดนึกทึกทักกันไปเอง และอย่าปล่อยให้กลุ่มทุนต่างชาติมาประมูลไปฝ่ายเดียวนะครับ เดี๋ยวจะมีคำครหาตามมาอีกว่า รัฐยกสมบัติให้พวกเขาไปหมดแล้ว...

สำหรับกลุ่มคนที่เรียกร้อง ระบบแบ่งปันผลผลิต คาดว่า รัฐจะแก้กฎหมายเปิดทางให้ ....แต่ อย่างไรเสีย การบังคับใช้คงยังไม่เรียบร้อย ยังไม่พร้อม ต้องใช้เวลาอีกระยะ และถ้าจะต้องเลือกบางแปลงในทะเลอ่วไทยตามกระแสเรียกร้องก่อนหน้า มาทดลองระบบดังกล่าวนี้ ...เกรงว่าจะเสียของเปล่านะครับ ......

ตัวอย่างสัญญาสัมปทาน อ่านเพิ่มเติม ไขข้อข้องใจ...สัญญาสัมปทานปิโตรเลียม

เสียงจากลูกหลานไทย ที่ยังห่วงคนไทย ต้องอ่านความรู้เรื่องพลังงานให้ดี

เสียงจากลูกหลานไทย ที่ยังห่วงคนไทย
// แม้ผมจะทำงานได้เงินเดือนเยอะ แต่ก็สงสารคนไทยหากยังเป็นเช่นนี้คนไทยไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้อย่างแน่นอนครับ

ข้อความดังกล่าวอาจชวนให้เห็นใจแต่ถ้ามีความรู้พลังงานที่ดีน่าจะต้องเฉลียวใจเรื่องพลังงานบ้าง


คำถาม ผมทำงานในแท่นขุดน้ำมันกลางอ่าวไทย เงินเดือนดีมากๆ มากกว่าไปตะวันออกกลางเสียอีก มีฮ.มารับมาส่ง อยากได้อะไรแค่โทรไปอยากกินอะไรมีเรือเร็วมาส่งให้ทันทีแค่โทรไปบอกเท่านั้น บริษัทน้ำมันต่างชาติเขาช่างดูแลเราดีเหลือเกิน แต่ผมมารู้ทีหลังว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้บ.น้ำมันต่างชาติเอามาหักจากค่าสัมปทานที่จะให้ประเทศไทยได้ แสดงว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดแม้แต่เงินเดือนของผมมันก็คือเงินของคนไทย ไม่ใช่เงินของบริษัทน้ำมันต่างชาติ

คำตอบ ประเด็นด้านบนมั่วเสียเหลือเกิน การทำงานได้เงินเดือนเยอะจริงครับ เพราะมีความเสี่ยงสูง ห่างไกลลูกเมีย ต้องมีสภาพจิตใจที่ดีและร่างกายที่แข็งแรง เหมาะกับการทำงานในทะเล แต่สิ่งที่ทุยขาดคือการศึกษาในสิ่งที่ตนเองทำ การมองรอบ คนทำงานแบบคนโพสต์เบื้องต้นมองแคบมองแต่ในกะลาเอง และที่สำคัญอาจจะยังไม่รู้ว่า ในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ณ ขนาดนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและการไม่สามารถเปิดให้มีการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมครั้งที่ 21 นั้น บริษัทที่ทำงานอยู่และบริษัทอื่นๆกำลังพิจารณาเอาคนออกเพื่อลด cost ซึ่งแนะนำเลย เอาน้องที่ทำงานอยู่ออกก่อนนะ แท่นจะได้เบาๆ ไม่มีภาระในจากคนที่ไม่มีความรู้เรื่องพลังงานมาโพสต์มั่ว


คำถาม ผมพึ่งมารู้ทีหลังว่าค่าสัมปทานพลังงานที่คืนให้คนไทยในฐานะเป็นเจ้าของทรัพยากร เป็นค่าสัมปทานที่ต่ำที่สุดในเอเซีย แทบจะเรียกว่าต่ำที่สุดในโลกแล้ว แท่นขุดเจาะในอ่าวไทยสี่ร้อยกว่าแท่นตั้งแต่ผมทำงานมาสิบกว่าปี ผมยังไม่เคยเห็นจนท.กระทรวงพลังงานลงมาดูแม้แต่ครั้งเดียว ผมทราบดีว่าทุกครั้งที่มีการส่งสินค้าออกนอกประเทศ ก็จะมีการเก็บภาษีส่งออก มีเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรควบคุม แต่ผมแปลกใจมากที่เวลาเอาน้ำมันดิบที่คุณภาพดีที่สุดในโลก และคอนเดนเสสคุณภาพสุดยอดส่งออก ไม่มีเจ้าหน้าที่ทั้งกระทรวงพลังงานและกรมศุลการกรมาดูกันเลย เขาละเลยเรื่องนี้มาโดยตลอดแล้วเขาเอาตัวเลขมาจากที่ไหนไปรายงานเขาคิดภาษีกันยังไง เฉพาะแท่นขุดเจาะที่ผมทำงานอยู่ปริมาณน้ำมันดิบก็ไม่ได้มากมายเท่ากับแท่นที่อยู่ใกล้เคียงอีกหลายแท่น ผมลองคูณตัวเลขเป็นดอลล่าแล้วผมตกใจ กับสี่้ร้อยกว่าแท่นในอ่าวไทย คนไทยควรเป็นมหาเศรษฐีกันทุกคนแล้ว มันหายไปไหน... เวลาผมกลับบ้านนอกเมื่อเห็นคุณภาพชีวิตของญาติๆผม ผมว่าคนไทยควรรู้เรื่องนี้กันได้แล้ว

คำตอบ ประเด็นด้านบนมั่วเสียเหลือเกิน บอกว่าค่าสัมปทานต่ำสุดในเอเซีย เรื่องนี้ผมเลิกเถียงไปนานแล้ว เพราะคนทั่วไป เค้าก็รู้กันว่าผลประโยชน์ที่ประเทศได้รับ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูงเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆทั่วโลก

ลองไปดูนะ ประเทศที่เก็บกว่าร้อยละ 90 อย่างกัมพูชา ปัจจุบันยังไม่ได้เงินสักแดงเดียว เพราะอะไรหรอ เพราะยังหาไม่เจอ ดังนั้นนะ การจะตั้งอะไร เก็บเท่าไหร่ มันต้องสะท้อนศักยภาพของตัวเองด้วย
เหมือนทุยไง มูลค่าต่ำมาก อย่าให้เจอนะดีดหูและเชิญออกเลยครับ

บอกว่ามีแท่นในอ่าวไทย 400 กว่าแท่นและทุยทำงานมากว่า10ปี ไม่เคยเจอเจ้าหน้าทีกระทรวงพลังงานเลย เออ ทุยพี่จะบอกอะไรให้นะ การทำงานทุกอย่างทำภายใต้ กม ภายใต้ข้อกำหนด ภายใต้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนั้นไม่มีความจำเป็นเลย ที่กระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติที่มีระบบตรวจสอบที่รัดกุม แน่นหนา ถูกต้อง แม่นยำ จะต้องลงไปทุกแท่น อย่างที่ทุยต้องการ แต่ถ้าจะไปแท่นจริงๆคงไปเอาทุยออกจากปลักที่แท่นนะครับ ถ้าทุยอยากให้ไปหาก็ติดต่อมานะครับ แล้วเจอกัน

บอกว่าน้ำมันดิบและคอนเดนเสทที่ดีที่สุดในโลกถูกส่งออกนั้น ยอมรับว่าจริงนะทุย แต่ทุกๆหยดที่ส่งออก เราทราบปริมาณ คุณภาพ และราคาที่เหมาะสมตามตลาดโลก มีการเก็บภาษีและค่าภาคหลวงที่ถูกต้อง ครบถ้วน ซึ่งพี่ก็เข้าใจนะว่าทึยอาจจะไม่รู้ เพราะว่ามันเกินสติปัญญาของทุย แต่ถ้าอยากทราบ ปริมาณ คุณภาพ ราคา เงินที่จัดเก็บได้ ไปดูนะใน website www.dmf.go.th ลองเข้าไปดูนะจะได้เลิกโง่นะ อายเค้า

พื้นฐานที่ว่า 400 กว่าแท่นผลิตเยอะแยะ คิดเป็นเงินมหาศาลตาม เม็ดก้อนสมองนั้น อันนี้ก็เหมือนเดิม อยากให้ไปดูใน website ข้างบนนะ อย่ามโน

สุดท้ายถ้าทุยอยากพัฒนาบ้านเกิด พัฒนาประเทศ ก็ง่ายนิดเดียว ขอให้คนที่ทำงานแล้วมาโมเมว่าอยู่ในวงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ช่วยหาข้อเท็จจริงและพูดความจริงออกมาเถอะ อย่าทุบหม้อข้าวตัวเองด้วยข้อมูลจากพวกบิดเบือน

สาธุ

พรบ ปิโตรเลียม ฉบับใหม่ ไม่ฟังเสียงประชาชนจริงหรือ?

พรบ ปิโตรเลียม ฉบับใหม่ ไม่ฟังเสียงประชาชนจริงหรือ?


พรบ ปิโตรเลียม ฉบับใหม่ ไม่ฟังเสียงประชาชนจริงหรือ? (ยาว แต่อ่านเถอะ จะได้รู้ว่าเป็นยังไง)

หากย้อนความหลังไปถึงการคัดค้านของกลุ่มต่างๆ ที่อ้างว่าเป็นภาคประชาชน ออกมาขับเคลื่อนในการคัดค้านเกี่ยวกับการดำเนินการประกอบธุรกิจปิโตรเลียมที่รัฐดำเนินการภายใต้กฎหมายที่กำหนดขึ้น ได้มีข้อเรียกร้องต่างๆ นานา โดยสาระสำคัญคือให้หยุด ชะลอ สัมปทานรอบที่ 21 ไปก่อน หากยังไม่มีการแก้ไข พรบ.ปิโตรเลียม

โดยหากเรียงลำดับเหตุการณ์ที่ภาคประชาชนเสนอ โดยมีฝ่ายกลางทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย โดยให้ทั้งสองนำเสนอข้อมูลนั้น จะเห็นว่า เวทีสัมมนาปฎิรูปพลังงานที่จัดขึ้น ณ สโมสรกองทัพบก และ การจัดอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุปที่วัดอ้อน้อย โดยมีฝั่งเป็นกลางอย่าง หลวงปู่พุทธอิสระหาข้อสรุปให้ภาครัฐ และ ภาคประชาชน มีการเพิ่มข้อเสนอลงใน เงื่อนไขในการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และ กระทรวงพลังงานได้มีการเพิ่มเงื่อนไขตามข้อเสนอจากงานดังกล่าวจากระบบ Thailand III เป็น Thailand III+

จากนั้น ยังคงมีความต้องการและเรียกร้องให้ชะลอ รวมไปถึงหยุดสัมปทานไปก่อน โดยอ้างว่าต้องมีการแก้ไข พรบ. ปิโตรเลียม ภาครัฐ โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน และกับ รัฐบาล จึงหาทางออกร่วมกัน โดยมีการจัดงานเสวนาอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้มีการจัดงานเวทีเดินหน้าประเทศไทยเพื่อความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 มี มล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายก เป็นประธาน และมีตัวแทนภาครัฐประกอบด้วย นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นแกนนำ ,นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน, นายบรรยง พงษ์พานิช คณะกรรมการนโยบายกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และนายศิริพงษ์ ศุภกิจจานุสรณ์ นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย

สำหรับตัวแทนภาคประชาชนประกอบด้วย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ,หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนโยบายพลังงานและทรัพยากร มหาวิทยาลัยรังสิต, น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ด้านพลังงาน และนายนพ สัตยาศัย กลุ่มวิศวจุฬาฯร่วมปฏิรูปประเทศไทย

โดยข้อเสนอจากเวทีดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไป เช่น เรื่องรายได้รัฐ ค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และได้มีการชี้แจงให้ข้อมูลกันไปแล้ว และในข้อเสนอที่ความต้องการให้นำระบบแบ่งปันผลผลิต (PSC) เข้ามาใช้กำกับดูแลกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยนั้น ทางภาครัฐ ได้รับฟัง และรับไว้พิจารณา โดยได้เลื่อนและภายหลังได้ยกเลิกการเปิดสัมปทานรอบ 21 ออกไปก่อน และแก้ไขกฎหมาย เพิ่มระบบแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract : PSC) เพื่อให้รัฐได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้นสำหรับการบริหารจัดการกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอนาคต เป็นไปตามที่ภาคประชาชนต้องการเรียบร้อยแล้ว

หากอ่านจนจบแล้ว คงได้แต่ฝากให้พิจารณา และ คิดตาม ว่า พรบ.ปิโตรเลียมฉบับใหม่ นั้น ได้มีการทำตามข้อเสนอของภาคประชาชนที่เรียกร้องกันหรือไม่

ที่มา กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เวปไซต์ผู้จัดการ และ พลังงาน 24 ชั่วโมง
http://bit.ly/1HgI2LY
http://bit.ly/1Li94Je
http://bit.ly/1MeoXkI
http://bit.ly/1HWqdYV
http://bit.ly/1Piwa49