Showing posts with label PTT. Show all posts
Showing posts with label PTT. Show all posts

กลโกง 8 ขั้น ที่โคตรมั่ว พูดแบบมั่ว ก็เชื่อแบบมั่ว

บทวิเคราะห์ที่แสนมั่ว ก็จะได้เนื้อหาแบบมั่วๆ



ปตท. ได้สรุปข้อมูลชี้แจงข่าวลือ กลโกง 8 ขั้น ที่มีการส่งต่อกันในโซเชียลมีเดียที่ระบุหัวข้อว่า กลโกง 8 ขั้นของ ปตท. โดย ปตท. ได้สรุปข้อเท็จจริงตอบคำถาม 8 ข้อ ดังนี้

ข้อที่ 1 ประเทศไทยมีการกลั่นน้ำมันรวมประมาณวันละ 1 ล้านบาร์เรล แบ่งเป็นน้ำมันในประเทศ 20% อีก 80% ที่เหลือนำเข้าจากต่างประเทศ การคำนวณราคาจึงคำนวณตามต้นทุนจริง

ข้อที่ 2 ข้อโจมตีที่ว่า ปตท. มีกำไรหน้าโรงกลั่นสูงถึงลิตรละ 5-6 บาทนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะตัวเลขดังกล่าว อ้างอิงตามส่วนต่างค่าการกลั่น (Refining Margin) ไม่ใช่ตัวกำไร แต่เป็นตัวเลขเปรียบเทียบราคาขายกับราคาต้นทุนหน้าโรงกลั่น ที่ยังไม่นับรวมต้นทุนอื่นๆ ที่ ปตท. ต้องจ่ายอีก เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าตอบแทนผู้บริหาร และค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักร เป็นต้น

ข้อที่ 3 เป็นข้อกล่าวหาที่เป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกองทุนของรัฐ จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ปตท.และบริษัทผู้ค้าน้ำมันอื่นๆ มีหน้าที่เก็บเงินจากลูกค้าแล้วนำส่งเข้ารัฐ ไม่ได้นำไปเก็บไว้เป็นรายได้ และกำไรของบริษัทเอกชนแต่อย่างใด

ข้อที่ 4 เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะปัจจุบันราคาแอลพีจี ในตลาดโลกอยู่ที่ตันละประมาณ 800 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ในประเทศไทยภาครัฐตรึงราคาไว้ที่ตันละ 333 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น

ข้อที่ 5 ประเทศไทยขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในประเทศขึ้นมาได้ประมาณ 75-80% ของความต้องการใช้งาน อีก 20-25% จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ปตท.มิได้ตั้งเป้านำเข้าก๊าซจากต่างประเทศ เพื่อคิดราคาแพงจากคนไทย

ข้อที่ 6 เป็นข้อโจมตีที่เป็นความเท็จ เพราะน้ำมันเป็นสิ่งที่ทั่วโลกต้องการ จึงย่อมไม่มีเจ้าของน้ำมันรายใด ที่จะยอมให้ราคาคงที่ไปตลอด 10 ปี อย่างแน่นอน ตัวอย่าง คือ การรวมตัวกันของกลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อกำหนดราคาน้ำมันสูง ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี

ข้อที่ 7 การนำเงินไปลงทุนในเกาะเคย์แมน เพื่อการฟอกเงิน ไม่เป็นจริง เพราะหากมีจริง จะต้องมีการตรวจสอบพบอย่างแน่นอน เนื่องจากทุกปี ปตท. ถูกตรวจสอบอย่างน้อยจาก 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และถูกตรวจสอบโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

ข้อที่ 8 ค่าผ่านท่อก๊าซ ถูกกำหนดโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกกูเลเตอร์) มิใช่ ปตท. ทั้งนี้ ปตท.เห็นว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ว่าจ้างให้มีการเขียนข่าวลือโจมตีในลักษณะนี้ ก็ถือเป็นการว่าจ้างที่ไม่คุ้มค่า เพราะเป็นข้อมูลมั่ว ไม่มีที่มาที่ไป และยั่วยุให้คนไทยแตกแยกกันเอง ด้วยการแพร่ความเท็จ.

ขอบคุณข้อมูลจากไทยรัฐ "ปตท." งัดข้อมูลสยบความเท็จ 8 ข้อ

โรงกลั่น 1 บาท เลิกมโน เพราะเหตุผลต่อไปนี้

มีการอ้างคำกล่าวไปเรื่อยว่า มีการตีมูลค่าโรงกลั่น มีมูลค่า 1 บาท


ในความเป็นจริงนั้น การใส่ตัวเลขว่า โรงกลั่น 1 บาท เป็นการเข้าไป take over ตามคำสั่งรัฐบาล แล้วเรื่องตีค่าโรงกลั่นก็เป็นเรื่องทางบัญชีไม่ได้หมายถึงมูลค่าจริงๆ ของโรงกลั่น

มูลค่าหุ้น กับ มูลค่าสินทรัพย์ .. เป็นมูลค่ากันคนละตัว เอามาเทียบกันไม่ได้

และในปี 2547 เชลล์ ขายหุ้นโรงกลั่นระยองให้ ปตท. ด้วยราคาหุ้นตามมูลค่าบัญชี 1 บาท แต่มีหนี้ที่ติดมาด้วยอีกหลายหมื่นล้านบาท ปตท. ได้มาก็ต้องมาจ่ายหนี้แทน พร้อมปรับโครงสร้างหนี้ และปรับปรุงให้ดีขึ้น แล้วในปี 2549 ปตท. นำโรงกลั่นน้ำมันระยอง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ความจริงแล้ว ปตท. เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท Shell เนื่องจากรัฐบาลไม่ต้องการให้โรงกลั่นตกอยู่ในมือต่างชาติ โดยซื้อในราคา 5 ล้านเหรียญฯ แต่


ปตท. ต้องแบกรับหนี้สินของ Shell
ไปอีกจำนวนถึง 1,335 ล้านเหรียญฯ หรือ
คิดเป็นมูลค่า
มากกว่า 41,000 ล้านบาท

หลังจากนั้น ปตท. ได้บริหารงานจนสามารถชำระหนี้ได้และผลประกอบการดีขึ้น มีกำไร และได้เป็น Asset ของประเทศ ทำให้มีความมั่นคงทางด้านพลังงานมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น คำว่าโรงกลั่น 1 บาท นั้น เป็นแค่การใส่ตัวเลขทางบัญชี แต่ไม่ได้มีการเอาตัวเลขหนี้สินเข้ามารวมเข้าไปด้วยนั่นเอง

หลักฐานชิ้นสำคัญชี้ชัดว่า สตง. ยอมรับ ปตท. คืนท่อก๊าซครบถ้วน

ถ้าเห็นข้อมูลประกอบนี้ ควรได้เวลายุติเสียที เรื่องทวงคืนท่อก๊าซ จากกลุ่มคนบางกลุ่มที่เป็นมหากาพย์ยืดยาวกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นมหากาพย์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2549 เพิ่งจะมาเป็นที่ยุติเด็ดขาดเอาเมื่อ 16 ก.พ. 2558 นี้เอง แต่ก็ไม่วายที่ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มออกมาพูดไปวกไปวนมา ทวงคืนกันไม่ยอมจบซะที



ผู้ฟ้องก็คือ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (เจ้าเก่า) ส่วนผู้ถูกฟ้องก็กราวรูดกันมาตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน ปตท. และกระทรวงการคลัง

เริ่มตั้งแต่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจปตท. ศาลปกครองสูงสุดยกคำร้อง

แต่ยังมีรายละเอียดในเรื่องของการแบ่งแยกทรัพย์สินคือท่อส่งก๊าซว่าอันไหนเป็นของรัฐ ต้องส่งมอบคืน และอันไหนยังคงเป็นของปตท.

เกณฑ์ตัดสินของศาลฯ ท่านก็ยึดเอาว่า ทรัพย์สินที่ได้มาจากการใช้อำนาจเวนคืน รอนสิทธิเหนือที่ดินเอกชน และใช้เงินลงทุนของรัฐ ปตท.ต้องคืนให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การใช้ท่อจากนี้ไปจะต้องมีค่าเช่า

ส่วนทรัพย์สินที่ บมจ.ปตท.เป็นผู้ลงทุนเองทั้งบนบกและใต้ทะเล ก็ให้ถือว่ายังคงเป็นสมบัติของ ปตท. ไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินคืนรัฐ

มูลนิธิอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ยังติดใจคำสั่งศาลว่า ทำไมยังมีส่วนแบ่งแยกให้เป็นทรัพย์สินของ ปตท.อยู่อีก จึงยื่นคำร้องฟ้องต่อศาลกันใหม่อีก

ฟ้องร้องเรื่องปตท.ส่งทรัพย์สินคืนไม่ครบ ฟ้องไปที่ศาลปกครองกลางบ้าง ศาลปกครองสูงสุดบ้าง ศาลท่านก็ยกคำฟ้องทุกครั้งไป

แต่มูลนิธิแห่งนี้ ก็ยังใช้สิทธิ “ฟ้องซ้ำ-ฟ้องซ้อน” ได้ ไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง

ระหว่างนั้น ช่วง 9 ปีมานี้ ก็มีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือสตง.บ้าง คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลบ้าง หรือกลุ่มพลังทวงคืนปตท.บ้าง สลับหน้ากันเข้ามาเชียร์ผู้ฟ้องร้องกันเป็นระลอก

อย่างกับละครเลยล่ะครับ ช่วง 9 ปีที่ต่อสู้กัน มีทั้งบทลักไก่ บทพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวหรือ “ฮาล์ฟ ทรูทช์” หรือบทเฮละโลทำเนียน ตีหน้าซื่อ แต่จะขอโค่นล้มคุณเสียให้ได้

สตง.ยุค “คุณหญิงเป็ด” ผ่านไป นึกว่าการจองล้างจองเวรปตท.จะหมดไปแล้ว แต่ สตง.ยุคคุณพิสิษฐ์ ลีลาวัชโรบล กลับเฮี้ยบไม่แพ้กันสักเท่าไหร่เลย

เทียวไล้เทียวขื่อฟ้องร้องหน่วยงานต่างๆ ว่า ปตท.ยังคืนทรัพย์สินไม่ครบถ้วนอยู่นั่นแหละ

มิใย ปตท. กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พลังงาน จะชี้แจงกลับไปว่า ปตท.ส่งคืนทรัพย์สินเข้ารัฐครบถ้วนไปแล้ว แต่ สตง.ก็ไม่ฟัง

ศาลปกครองยกคำร้องมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สตง.ของท่านพิสิษฐ์ก็ไม่ยอมรับรู้รับเห็นด้วยแต่ประการใด

- ข้อน่าพิรุธตรงหนังสือสำคัญลงวันที่ 10 มี.ค. 2552 ที่สำนักงานศาลปกครองแจ้งไปยัง สตง. มีข้อใหญ่ใจความว่า ปตท. ได้ส่งคืนทรัพย์สินเรียบร้อยแล้ว ตามคำพิพากษาของศาลปกครองนี่สิ... -

- ไม่รู้ สตง.ไปทำตกหล่นสูญหายได้อย่างไร -

สตง.ถึงได้เล่นบท “ผู้ไม่รับรู้” และเข้าไปเล่น “เกมโค่นล้ม” เกมเดียวกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเช่นนี้

ล่าสุด ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งเด็ดขาดยกคำร้องมูลนิธิฯและพวกจำนวน 1,455 คน กรณีคืนท่อก๊าซปตท.ไปเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2558 พร้อมทั้งจำหน่ายคดีออกจากสารบบไปแล้ว

** หมายเหตุล่าสุดก็เริ่มมีการฟ้องร้องทวงคืนกันอีกระลอก ซึ่งข้อมูลที่นำมาเสนอนี้ น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคมที่ไล่แชร์ ไล่ทวงคืนกันไม่บันยะบันยัง โดยไม่สนข้อมูล หรือแม้แต่คำตัดสินของศาล ว่ากรณี้น่าจะยุติได้แล้ว เพราะจำหน่ายออกจากสารบบ

เรื่องเก่า ลำดับเหตุการณ์ การคืนท่อก๊าซ

ผลการตัดสินของศาลปกครอง 

มหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท. ยังไม่จบ จริงหรือ?

เงินเดือนซีอีโอ ปตท. ไม่เป็นความจริง แชร์ไปอาจมีความผิดใน พรบ. คอมพิวเตอร์ 2550


++++++ข้อความส่งต่อเรื่องเงินเดือนซีอีโอ ปตท. ไม่เป็นความจริง++++++

👉 ค่าตอบแทนผู้บริหารเป็นไปตามนโยบายและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ปตท. กำหนด ซึ่งเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของ ปตท. ตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (Performance Agreement : PA) ที่กำหนดโดยกระทรวงการคลัง

👉 คณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทนเป็นผู้พิจารณาค่าตอบแทนให้สะท้อนถึงผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) ตลอดจนเป็นไปตามแนวปฏิบัติและมาตรฐานของกลุ่มธุรกิจชั้นนำประเภทเดียวกัน

👉 โดยส่วนใหญ่บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีข้อกำหนดชัดเจน ไม่มีบัตรเครดิตฟรี บ้านฟรี หรือใช้จ่ายฟรีอย่างที่พูดกันไป เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ ต้อง มีหลักฐานเหตุผลการเบิก ซึ่งระบุลงในรายงานประจำปี โบนัสก็มีในรายงานประจำปีด้วยเช่นกัน

👋 หยุดแชร์ข่าวยุแยงบิดเบือนแบบนี้ซะที


*****คำเตือน*****

ความผิดใน พรบ. คอมพิวเตอร์ 2550 ที่เราไม่คาดคิด!! อาจเสี่ยงติดคุก

1. การนำรูปผู้อื่นไปแชร์: ไม่ว่าจะแชร์รูปใคร ทั้งเพื่อน คนรู้จัก ดารา นักการเมือง หรือใครก็แล้วแต่ หากเรานำไปแชร์ หรือดัดแปลง ทำให้ผู้อื่นเสียหาย หรือได้รับความอับอาย มีความผิดและมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 16 พรบ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550)

2. โพสข้อความด่า: การโพสข้อความด่าหรือจงใจกล่าวหา ใส่ร้ายผู้อื่น ซึ่งข้อความที่ไม่เป็นความจริง อันน่าจะทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย มีความผิดและมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท (มาตรา 14 พรบ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550)

ลำดับการคืนท่อก๊าซของ ปตท.ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด

ลำดับการคืนท่อก๊าซของ ปตท.ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด



14 ธ.ค. 2550 ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้ ปตท. ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดิน เพื่อแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐ และของ บมจ.ปตท.

18 ธ.ค. 2550 คณะรัฐมนตรี มีมติให้ ปตท. แบ่งแยกทรัพย์สินที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐ (โดยการปิโตรเลียมฯ) เหนือที่ดินของเอกชน และได้จ่ายเงินค่าทดแทนโดยการใช้เงินของการปิโตรเลียมฯ ซึ่งเป็นองค์การของรัฐตามคำวินิจฉัยของศาลฯ โดยมอบหมายให้ กระทรวงการคลัง โดย กรมธนารักษ์ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นผู้ตรวจสอบรับรองความถูกต้อง

หากมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นผู้พิจารณาเพื่อให้มีข้อยุติ และต่อมาได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำหนดแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการรับโอนทรัพย์สินของการปิโตรเลียมฯ ขึ้น

22 ธ.ค 2551 กรมธนารักษ์ มีหนังสือแจ้งมายัง ปตท. ว่า ปตท. ได้ดำเนินการแบ่งแยกและส่งมอบทรัพย์สินต่างๆ ให้แก่ กระทรวงการคลัง ตามคำพิพากษาศาลฯ เสร็จสิ้นครบถ้วนแล้ว และขอให้รายงานศาลฯเพื่อทราบต่อไป

25 ธ.ค.2551 ปตท. ได้ยื่นคำร้องรายงานสรุปการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด

26 ธ.ค.2551 ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งบันทึกในคำร้องรายงานสรุปฯของ ปตท. ว่าปตท. ดำเนินการโอนทรัพย์สินตามคำพิพากษาครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว

29 ธ.ค.2551 สตง. ส่งหนังสือให้ความเห็นถึง ปตท. โดยแนบเอกสารตรวจสอบฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 2551 (เอกสารที่กล่าวอ้าง)

20 ก.พ.2552 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีหนังสือถึง ปตท. และหน่วยงานอื่นๆ รวมถึง เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองว่า
"การดำเนินการแบ่งแยกและส่งมอบทรัพย์สินของ บมจ.ปตท. ให้แก่กระทรวงการคลัง ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด จะครบถ้วนและเป็นไปตามคำพิพากษาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่จะผู้พิจารณา ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดถือเป็นยุติ"

3 มี.ค.2552 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นคำร้องขอให้ศาลฯ ไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ปตท. ต้องคืนกระทรวงการคลังพร้อมกับแนบรายงานการตรวจสอบของ สตง.ประกอบท้ายคำร้องด้วย ซึ่งในวันเดียวกันศาลฯ มีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวและสั่งว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

10 มี.ค.2552 สำนักงานศาลปกครอง มีหนังสือแจ้งไปยัง สตง. ว่า ?ได้ติดตามผลการดำเนินการตามคำพิพากษาของผู้ฟ้องคดีทั้งสี่และรายงานให้ศาลทราบ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 4 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว?

10 ส.ค.2553 กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานได้เสนอเรื่องการคืนทรัพย์สินตามคำพิพากษาของปตท. ไปยังคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบการดำเนินการดังกล่าวของ ปตท.

2 พ.ย.2555 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ยื่นฟ้องว่า ปตท. คืนท่อตามคำพิพากษาไม่ครบและขอให้ศาลตัดสินให้ปตท.คืนท่อในทะเลด้วย โดยศาลมีคำวินิจฉัยว่า ศาลปกครองสูงสุดได้เคยมี "คำพิพากษาว่า ปตท. ได้ดำเนินการส่งมอบทรัพย์สินครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว"

10 ต.ค.2557 ผู้อำนวยการสำนักงานศาลปกครองสูงสุด มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาลฯที่วินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องออกหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดตามที่ ปตท. ได้ยื่นขอให้ออกหนังสือดังกล่าว เนื่องจากคดีได้ถึงที่สุดโดยผลของกฎหมายอยู่แล้ว

12 ธ.ค.57 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ในคดีการแบ่งแยกระบบท่อก๊าซธรรมชาติของ บมจ.ปตท. ให้กลับมาเป็นของรัฐ ตามคำร้องที่ 1034/2555 คำสั่ง 800/2557 ซึ่งมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 1 กับพวกรวม 1,455 คน (ผู้ฟ้องคดี) ยื่นฟ้อง คณะรัฐมนตรี ที่ 1, นายกรัฐมนตรี ที่ 2, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ 3, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ 4, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ 5  (ผู้ถูกฟ้องคดี)

ล่าสุด
วันที่ 16 ก.พ. 58 ศาลปกครองกลางได้อ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2557 โดยมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลางให้ไม่รับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตามที่ได้ปรากฎตามหน้าเว็ปข่าวหนังสือพิมพ์ต่างๆ ว่า ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ



เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

ศาลปกครองสูงสุดไม่รับฟ้องคดีแบ่งแยกท่อก๊าซ ปตท. กลับเป็นของรัฐ เพราะ คดีไร้สาระ ซ้ำซาก

ทำไม "ปิโตรนาส" กำไรมากกว่า "ปตท."


อาจเกิดความเข้าใจผิดรวมไปถึงสับสนในการตีความภาพ info graphic นี้ ซึ่งที่จะสื่อให้เห็นว่า ปตท. กับ ปิโตรนาส ต่างกัน

แม้ว่า "ปตท." และ "ปิโตรนาส" จะดำเนินธุรกิจปิโตรเลียมที่ครบวงจร ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ อย่างธุรกิจสำรวจและผลิตจนถึงธุรกิจปลายน้ำ อย่างธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและก๊าซ เหมือนกันก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้ 2 บริษัทมีความแตกต่างกัน ประเด็นหลักๆ คือ

"สิทธิความเป็นเจ้าของแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียม"

- แหล่งปิโตรเลียมในประเทศไทยทุกแหล่งรัฐบาลไทยเป็นเจ้าของ
เพื่อให้เกิดความยุติธรรม เสมอภาค และข้อเสนอที่ดีที่สุด -

รัฐจึงเปิดให้เอกชนและบริษัทที่รัฐถือหุ้นอยู่ เข้ามายื่นขอสัมปทาน โดยจะต้องแบ่งส่วนแบ่งให้กับภาครัฐ ตามที่กำหนด และบริษัทในกลุ่ม ปตท. (ปตท.สผ.) ก็ถือเป็นผู้แข่งขันรายหนึ่งที่ต้องยื่นขอสิทธิ์สัมปทานจากภาครัฐเช่นกัน โดยไม่ได้สิทธิพิเศษใดๆ และต้องแข่งขันกับเอกชนรายอื่นๆ

- ซึ่งต่างกับมาเลเซียที่แหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมทุกแหล่ง
รัฐได้มอบหมายให้ปิโตรนาสที่ขึ้นตรงกับรัฐบาล -

ให้ดำเนินกิจการขุดเจาะสำรวจ ผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว ขณะเดียวกันบางแหล่ง ที่อาจมีความเสี่ยง รัฐจะทำการมอบหมายให้ปิโตรนาสเป็นผู้ร่วมในการดำเนินการเป็นคู่สัญญา ร่วมกับบริษัทเอกชนอื่นเข้ามาสำรวจขุดเจาะ โดยบริษัทนั้นต้องแบ่งผลประโยชน์ให้ปิโตรนาสตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ฉะนั้นแล้วการเปรียบเทียบกำไร การแข่งขันทางธุรกิจ รวมไปถึงศักยภาพทางธรณีวิทยา ย่อมเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว
แน่นอนว่า หากทรัพยากรปิโตรเลียมทั้งหมดในประเทศไทย ปตท. ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการแต่เพียงผู้เดียวเฉกเช่น ปิโตรนาส จะทำให้ ปตท.ได้รับสิทธิ์ผูกขาดจะยิ่งขัดกับสิ่งที่คนบางกลุ่ม

******บอกว่า ปตท. ผูกขาดในการจัดการทรัพยากรแน่นอน******

หรือกลุ่มที่โจมตี ภาพ info graphic นี้ ต้องการให้ ปตท. เหมือนปิโตรนาสในเรื่องการผูกขาดด้านการจัดการทรัพยากรปิโตรเลียม รวมไปถึงการบริหารจัดการทรัพยากรในประเทศแต่เพียงผู้เดียว จะย้อนแย้งทันทีกับการที่บอกว่าไม่ต้องการให้ ปตท. ได้รับสิทธิ์ในการผูกขาดกิจการด้านต่างๆ ทันที