Showing posts with label คำวินิจฉัย. Show all posts
Showing posts with label คำวินิจฉัย. Show all posts

เรื่องท่อก๊าซฯ จะฟ้องกี่ครั้งผลก็เหมือนเดิม



เรื่องท่อก๊าซฯ จะฟ้องกี่ครั้งผลก็เหมือนเดิม ศาลระบุชัด “หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ไม่อาจนำมาฟ้องคดีได้อีก



ข้อความด้านบนเป็นส่วนหนึ่งในคำสั่งล่าสุดของศาลปกครอง ในคดีหมายเลขดำเลขที่ ๖๐๓/๒๕๖๐ คดีหมายเลขแดงที่ ๗๖๘/๒๕๖๐ สืบเนื่องจากกรณีล่าสุด ที่มีผู้ฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลปกครองอีกครั้ง

โดยในคำฟ้องมีการระบุให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งรวม ๗ ข้อ ซึ่งคดีนี้มีสองประเด็นสำคัญที่ศาลจะต้องพิจารณาคือ คำฟ้องของผู้ฟ้องคดีเป็นคำฟ้องที่ศาลสามารถรับไว้พิจารณาได้หรือไม่

โดยศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้เนื้อหาของคดีจะอยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียหรือประโยชน์โดยตรง อีกทั้งไม่สามารถแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ว่า การโอนคืนท่อก๊าซธรรมชาติของ บริษัท ปตท.ให้แก่กระทรวงการคลัง ซึ่งผู้ฟ้องเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องนั้น ก่อให้ความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีโดยตรงและเป็นการเฉพาะตัวอย่างไร

นอกจากนั้นที่สำคัญยังระบุว่า


“การที่ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำการโอนคืนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน(ท่อก๊าซฯ)จากบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ให้แก่กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ. ๔๗/๒๕๔๙ คดีหมายแดงที่ ฟ. ๓๕/๒๕๕๐ ยังมีลักษณะเป็นการร้องขอที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคดีตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าวซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีการสั่งคำร้องในส่วนของการบังคับคดีไว้แล้วว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องเพื่อขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดีนั้นได้ ศาลจึงไม่อาจรับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณาได้”


จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ 


อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่าคดีนี้เป็นคดีล่าสุดในประเด็นเรื่องเรื่องท่อก๊าซธรรมชาติที่มีการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง แต่อาจไม่ใช่คดีสุดท้าย เพราะจากข่าวที่ปรากฏ จะเห็นว่ายังคงมีความพยามอย่างต่อเนื่องในการทวงคืนท่อก๊าซฯจากบุคคลบางกลุ่ม แต่ไม่ว่าจะเป็นคดีใด ถ้าคำขอในคดีมีเนื้อหาเป็นการขอให้บังคับในตัวท่อก๊าซธรรมชาติ ศาลปกครองจะไม่สามารถรับไว้พิจารณาได้ ดังที่เคยมีคำสั่งหรือคำพิพากษาไปหลายครั้งแล้วในก่อนหน้านี้  เนื่องจากการพิจาณาในเรื่องประเด็นอย่างเดียวกันกับประเด็นที่เคยมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดไปแล้วนั้น มันเป็นกรณีต้องห้ามตามกฎหมายไม่สามารถนำมาฟ้องร้องกันได้อีก ซึ่งประเด็นเรื่องท่อก๊าซธรรมชาติ ศาลปกครองสูงสุดได้เคยมีการสั่งคำร้องในส่วนของการบังคับคดีไว้ชัดเจนแล้วว่า

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”






ตักเตือนสถานเบา! รสนาและพวก เหตุละเมิดอำนาจศาล ระบุชัดไม่ใช่การวิจารณ์โดยสุจริต

ตักเตือนสถานเบา! รสนาและพวก เหตุละเมิดอำนาจศาล ระบุชัดไม่ใช่การวิจารณ์โดยสุจริต



อย่างที่ทราบกัน กรณีท่อก๊าซธรรมชาติของ ปตท. คนที่ตามข่าวจะรู้ว่ามีความพยายามในการทวงคืน จากคนบางกลุ่มทั้งจาก NGO และจากฝั่งองค์กรอิสระบางแห่ง โดยมีการแสดงความเห็นที่ไม่ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลก่อนหน้านี้ ซึ่งเนื้อหาบางช่วงบางตอนก็มีการวิจารณ์ที่เข้าข่ายเป็นการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีข่าวที่ศาลปกครองสูงสุดมีหมายเรียก น.ส. รสนา โตสิตระกูล และนายศรีราชา วงศารยางกูร เพื่อไต่สวนกรณีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับคดีท่อก๊าซด้วย

ล่าสุด น.ส.รสนา โตสิตระกูล และนายศรีราชา วงศารยางกูร ก็ได้รับหนังสือคำสั่งกรณีละเมิดอำนาจศาลจากศาลปกครองสูงสุด โดยเนื้อหาได้ระบุถึงรายละเอียดของการกระทำของบุคคลดังกล่าวที่เข้าข่ายเป็นการละเมิดอำนาจศาลมีใจความสำคัญ ดังนี้

กรณีของ นายศรีราชา ที่ไปให้สัมภาษณ์ในรายการ face time มีการแสดงความเห็นช่วงหนึ่งในรายการกล่าวหาศาลในทำนองว่าศาลปกครองสูงสุดเร่งรีบสั่งคดีและรู้เห็นเป็นใจกับ ปตท. ศาลเห็นว่านายศรีราชา ซึ่งจบการศึกษาถึงปริญญาตรีและปริญญาโททางด้านนิติศาสตร์ กลับกล่าวถึงการทำงานของศาลว่าเร่งรีบโดยไม่ได้พูดถึงคำสั่งคำวินิจฉัยของศาลเลย จึงมิใช่เป็นการวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยสุจริตด้วยวิธีการทางวิชาการ กรณีจึงเข้าข่ายเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 
และกรณีของ น.ส.รสนา ที่แสดงความคิดเห็นผ่านทางเฟสบุ๊คของตัวเอง ทำนองว่า ถ้าการแปรรูปไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายจริงๆ ศาลก็ต้องสั่งยกคำร้องของผู้ฟ้องคดี  การที่ศาลไม่สั่งเพิกถอนการแปรรูปทั้งที่การแปรรูปผิดกฎหมายต่างหากที่เป็นการใช้หลักรัฐศาสตร์มากกว่าหลักนิติศาสตร์มาตัดสินคดีนั้น อาจทำให้ผู้อ่านความเห็นดังกล่าวเชื่อว่าศาลมิได้พิพากษาให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย เป็นการกล่าวหาว่าในการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวศาลใช้หลักการอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าหลักกฎหมายในการตัดสินคดี นอกจากนั้นการที่น.ส.รสนา ได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์พาดพิงการวินิจฉัยสั่งคำร้องของศาลว่า ศาลปกครองสูงสุดได้รับข้อมูลอันเป็นเท็จ และให้การรับรองการแบ่งแยกทรัพย์สินว่าครบถ้วนแล้ว เป็นเรื่องที่ทำให้รัฐเสียหายและเสียประโยชน์ โดย น.ส.รสนาได้นำมติของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 มาอ้างอิง ซึ่งมติดังกล่าวมีขึ้นภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งคำร้องเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2551 เป็นเวลานานมากแล้ว อีกทั้งมติของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินดังกล่าวก็มิได้ผูกพันศาลปกครองแต่อย่างใด ข้อความของ น.ส.รสนาในบทความดังกล่าวทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าศาลวินิจฉัยสั่งคดีไปโดยไม่ถูกต้อง การแสดงความเห็นดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยสุจริตด้วยวิธีการทางวิชาการ แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาที่เข้าข่ายเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 
อย่างไรก็ดีแม้การกระทำของบุคคลดังกล่าวเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลแต่ศาลปกครองเห็นควรลงโทษแค่สถานเบา โดยมีคำสั่งตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น










ที่มา อ่านเอกสารเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/2nRRYL3

"อธิปไตยพลังงาน" ....วาทกรรมไร้ความหมาย

ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา เราจะได้ยินคำว่า “อธิปไตยพลังงาน” โผล่ขึ้นมามากมายบ่อยครั้งตามสื่อต่างๆ ทั้งสื่อหลักและสื่อ Social Media (ลองพิมพ์คำนี้แล้วเข้าไปหาใน Google ดูสิครับ ท่านหาอ่านได้เป็นสิบๆ หน้าเลยครับ)


ที่มาภาพ: https://thaipublica.org/2016/07/banyong-pongpanich-72/
มีใครเคยฉุกคิดโดยใช้หลัก “กาลามสูตร” ของพระพุทธองค์มาพิจารณากันดูไหมครับ ว่าคำว่า “อธิปไตยพลังงาน” นี่หมายถึงอะไร มีความหมายความสำคัญจริงๆ แค่ไหน หรือเพียงแค่ฟังตามๆ กันมาแล้วก็พูดตามๆ กันไป เพียงเพราะมันเป็นคำที่ฟังดูดี ดูเท่ ดูดุเดือด รักชาติ รักสังคมดี
ผมขอฟันธงก่อนเลยว่า คำ “อธิปไตยพลังงาน” นี้ เป็นคำที่ไร้ความหมาย ไร้สาระ …เป็น “วาทกรรมประดิษฐ์” ที่มีผู้คิดสร้างขึ้น เพื่อชักจูงให้คนเข้าใจไปในทางที่ส่งเสริมแนวคิดทางสังคมนิยมของพวกตน เพื่อสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง “บรรษัทพลังงานแห่งชาติ” ที่มีพวกตนเข้าไปมีบทบาทบริหารควบคุม ทั้งๆ ที่แนวคิดนี้กำลังเสื่อมความนิยมลงทั่วโลก เพราะเป็นวิธีการที่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ล่อแหลมต่อการทุจริต และทำให้รัฐสุ่มเสี่ยงเกินไปโดยที่ไม่จำเป็น ซึ่งเมื่อถกเถียงกันโดยเหตุผลแล้วไม่สำเร็จ คนกลุ่มนี้ก็เลยไปใช้วิธีปลุกกระแสชาตินิยม กระแสรักชาติ รวมทั้งใช้กลยุทธ์ประชานิยม (ทำให้คนเชื่อว่าจะได้ใช้นำ้มันราคาถูก) มาจูงใจสังคม แล้วก็เลยคิดประดิษฐ์คำเท่ๆ อย่าง “อธิปไตยพลังงาน” ขึ้นมาเพื่อใช้นำปลุกระดมผู้คน

ทำไมผมถึงบังอาจสรุปอย่างนี้ …จะขออธิบายนะครับ

ถ้าไปเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็จะแปลความหมายคำว่า “อธิปไตย” ว่า “อำนาจสูงสุดของรัฐที่จะใช้บังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน” หรือในภาษาอังกฤษก็จะตรงกับคำว่า “Sovereignty” ซึ่งก็มีความหมายตรงกัน คือหมายถึงว่า รัฐใดที่เป็นอิสระย่อมมีอำนาจอธิปไตยเหนือขอบเขตของประเทศตน จะออกกฎหมาย จะบังคับใช้กฎหมายที่ตนมีอยู่ได้ จะใช้ระบอบใดปกครองก็เป็นสิทธิ

การใช้อำนาจอธิปไตยนั้น ย่อมทำได้ภายใต้กฎหมาย ภายใต้รัฏฐาธิปัตย์ของแต่ละประเทศ แต่ทั้งนี้ก็จะต้องคำนึงถึงพันธสัญญาที่ตนมีอยู่ ทั้งกับประเทศต่างๆ หรือกับเอกชนและประชาชน ทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งยังต้องคำนึงถึงวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในโลกนี้ด้วย

แต่เอาเข้าจริงก็มีการใช้อำนาจโดยละเมิดพันธะที่ว่าโดยประเทศต่างๆ อยู่เสมอๆ ซึ่งก็ยังสามารถทำได้และมีผลภายในเขตประเทศตน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ย่อมต้องยอมรับผลกระทบที่ตามมา (Consequences) ด้วย เช่น ประเทศอาจออกกฎหมายยึดกิจการบางอย่างของต่างชาติที่อยู่ในเขตแดนเป็นของรัฐ หรืออาจเบี้ยวไม่ยอมรับพันธสัญญาที่ทำไว้ก็ได้ แต่สิ่งที่ตามมาก็อาจทำให้ไม่มีใครมาค้าขายลงทุนด้วยอีก หรืออาจถูกปฏิบัติตอบเยี่ยงเดียวกัน (คือยึดของเราบ้าง) หรือถ้าหนักขึ้นก็อาจจะถูกแซงก์ชัน (Sanction) ซึ่งมีตั้งแต่ระดับอ่อนอย่างการตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าบางชนิด ไปจนถึงระดับแรง เช่น งดเว้นการค้าขายการลงทุนด้วยเลย หรือถ้าหนักที่สุดก็คือการประกาศสงครามเข้าต่อสู้รุกรานโดยกองทัพกันเลย (มีน้อยครั้งนะครับ และต้องเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ)

จะขอยกตัวอย่างใกล้ๆ ตัวนะครับ …อย่างการที่เราถูกกล่าวหาใน TIP Report ว่าไม่เอาจริงกับการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ หรือถูกให้ใบเหลืองจาก IUU เรื่องประมงผิดกฎหมาย อันอาจทำให้ถูกกีดกันการค้า หรืองดนำเข้าอาหารทะเลจากไทย ซึ่งโดย “อำนาจอธิปไตย” เราอาจจะเมินเฉย ด่ากลับ โดยไม่ทำอะไรก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องยอมรับผลที่อาจทำให้สินค้าไทยจะขายไม่ออก หรือทำให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลต้องพังพินาศไป ที่เราต้องนั่งมุ่งมั่นแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะเราไม่มี “อธิปไตยอาหารทะเล” หรอกนะครับ แต่เพราะเราไม่อยากเผชิญผลกระทบต่างหาก

หรืออีกสักตัวอย่างหนึ่ง การที่ประเทศไทยโดนฟ้องโดยเอกชนในศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศว่าละเมิดสัญญาคุ้มครองการค้าที่ทำกับเยอรมันในกรณีบริษัททางยกระดับดอนเมืองโทลเวย์ แล้วเราแพ้คดี โดนปรับกว่า 30 ล้านยูโร แล้วไม่ยอมจ่าย ทำให้รัฐบาลเยอรมันทำการยึดเครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระบรมฯ ที่เข้าไปในเขตประเทศเขาเมื่อปี 2554 จนต้องยอมเอาหนังสือค้ำประกันธนาคารไปแลกเครื่องบินคืนมา ซึ่งถ้าเราเลือกที่จะดื้อดึงใช้อำนาจอธิปไตยตอบโต้ เช่น ยึดทรัพย์รัฐบาลเยอรมัน หรือของเอกชนที่อยู่ในประเทศเราบ้างก็ย่อมทำได้ แต่ก็คงจะส่งผลลุกลามร้ายแรงไปกว่านี้ ซึ่งที่เรายอมไปก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่มี “อธิปไตยทางด่วน” ใดๆ ทั้งสิ้น

ขอกลับมาเรื่อง “อธิปไตยพลังงาน” นะครับ ที่ออกมาตะโกนก้องว่า “เราจะต้องเสียอธิปไตยพลังงาน” ถ้าไม่ทำตามที่พวกท่านเรียกร้อง คือ ถ้าไม่ยึดแหล่งพลังงานมาทำเอง ถ้าไม่ตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติขึ้นมาเป็นเจ้าของและบริหารควบคุม (แล้วตั้งพวกท่านเข้าไปบริหารบรรษัทอีกทีหนึ่ง) ถ้าไม่เปลี่ยนระบบจากที่เคยให้สัมปทานเอกชนไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต หรือว่าจ้างผลิต ก็จะถือว่ายกทรัพยากรให้เอกชน ให้ต่างชาติ เพราะว่าน้ำมันจะเป็นของเขา รัฐจะนั่งรอให้เขาเอาไปขายแล้วรอแบ่งเงินค่าภาคหลวงค่าภาษี ไม่ได้มีอำนาจที่จะขนเอาน้ำมันมาเข้าคลัง มาจัดการขายเองเอาเงินเอง (ทำอย่างกับว่ารัฐทำเป็น ทำเก่ง)

หรือกระทั่งบางคนถึงกับกล่าวหาว่า ที่เราใช้ระบบสัมปทานให้เอกชนขุดหาแหล่งพลังงาน โดยรัฐเก็บค่าภาคหลวงและภาษีต่างๆ เป็นตัวเงินในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมานั้น เป็นการที่เราไม่มีอธิปไตยทางพลังงานตลอดมา พอสัมปทานจะครบอายุจึงเป็นเวลาที่จะต้องเอา “อธิปไตยพลังงาน” ที่สูญเสียไปนานกลับคืนมาเสียที โดยการจัดตั้งบรรษัทที่ว่าและเปลี่ยนระบบมาเป็นแบบที่เขาเรียกร้อง

ผมขอบอกเลยว่า ไม่ว่าจะมีบรรษัทที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% ลงทุนเอง เสี่ยงเอง บริหารเอง หรือมีรัฐวิสาหกิจที่รัฐถือหุ้นแค่ครึ่งเดียว หรือจะให้เอกชนแข่งขันกันทำทั้ง 100% (เหมือนพวกประเทศพัฒนาแล้วเกือบทุกแห่ง) ไม่ว่าจะใช้ระบบสัมปทาน (Concession) ไม่ว่าจะใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต (Product Sharing) หรือจะว่าจ้างผลิต จะเป็นแบบไหนระบบใด ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “อธิปไตย” หรือ “อำนาจอธิปไตย” ใดๆ ทั้งสิ้น

ประเทศไทย รัฐบาลไทย ศาลไทย รัฐสภาไทย จะยังคงมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยตลอดไป เรายังสามารถออกกฎหมายบังคับใช้กับทุกๆ คนที่ประกอบกิจการในเขตดินแดนไทยได้ทุกอย่าง จะออกกฎหมายยึดคืนในรูปแบบต่างๆ ก็ยังได้เลย (เหมือนอย่างเวเนซุเอลา ประเทศที่เคยเป็นแม่แบบของเหล่านักทวงคืนเคยทำไงครับ แต่เดี๋ยวนี้เวเนฯ เละตุ้มเป๊ะไปแล้ว พวกท่านก็เลยแกล้งลืมไม่พูดถึงอีก) แต่อย่างที่ว่าแหละครับ …ทำไปก็ต้องรับผลกระทบที่ตามมาด้วย

เรื่องของทรัพยากรธรรมชาตินั้น ทั้งตามกฎหมายไทย กฎหมายสากล ส่วนใหญ่นั้นก็เหมือนๆ กัน คือ เป็นสมบัติของรัฐของส่วนรวม แม้อยู่ใต้ที่ดินเรายังไม่ใช่ของเราเลย แต่การที่จัดสรรแบ่งให้เอกชนทำ จะเป็นชาวไทยหรือต่างชาตินั้นก็เพราะเพื่อให้มีประสิทธิภาพ มีเทคโนโลยี รวมทั้งประหยัดทรัพยากรภาครัฐไปทำอย่างอื่นที่จำเป็นกว่า และที่สำคัญ รัฐไม่ต้องรับความเสี่ยงในกิจกรรมที่รู้ชัดๆ ว่ามีความเสี่ยงสูง จะใช้ระบบใดก็ยังถือว่าทรัพยากรนั้นเป็นของรัฐ …อย่างนำ้มันนั้น ถ้ามีเหตุจำเป็น เช่น ยามขาดแคลนจัด หรือยามสงคราม รัฐสามารถบังคับให้เอกชนต้องตั้งสำรองเพิ่มหรือแม้จะให้ส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดให้รัฐเลยก็ยังทำได้ (ถ้ามีการชดเชยตามสมควรก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติยอมรับได้ด้วยซ้ำ) ทำอะไรอย่างไรก็ไม่เสียอธิปไตยใดๆ ทั้งสิ้น

จะว่าไป …การที่ศาลปกครองสูงสุดออกมาพิพากษาให้ ปตท. ต้องคืนท่อก๊าซบนที่ดินที่ได้มาจากการใช้อำนาจรัฐเวนคืนเมื่อปี 2549 นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของศาลที่ให้ยึดสมบัติที่ทั้งรัฐบาลผู้ขายหุ้นและนักลงทุนหลายแสนคนผู้ซื้อหุ้นต่างเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นสมบัติของ ปตท. ที่ได้แบ่งขายให้ผู้ถือหุ้นทุกคนร่วมเป็นเจ้าของไปแล้ว การที่ศาลอ้างว่าเป็นไปตามมาตรา 24 ของ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ 2542 ผมอ่าน ม.24 หลายสิบรอบก็ยังไม่สามารถเห็นด้วยกับศาลเลย …แต่เอาเถอะครับ จะถูกจะผิดอย่างไร ถึงจะไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากศาลท่านเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในเรื่องนี้ เราก็ต้องเคารพและทำตาม และก็พยายามลดผลกระทบโดยการทำให้นักลงทุนเข้าใจ (การที่ผู้บริหาร ปตท. ออกมาประกาศว่าจะเคารพการตัดสินทุกอย่างของศาลก็เป็นเรื่องถูกต้องและสมควรแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่เห็นน่าตื่นเต้นใดๆ เลย ไม่งั้นท่านก็ต้องย้ายกิจการทั้งหมดไปอยู่ประเทศอื่น …แต่น่าสังเกตว่ากลุ่มผู้ฟ้องกลับไม่ยักเคารพคำตัดสินของศาลแฮะ ได้คืบจะเอาศอกเอาวา ไม่ยอมเลิก จะเอาให้ประเทศพังจนสะใจให้ได้)

ถึงตอนนี้ …ผมก็ขอเรียกร้องว่า จะถกเถียงว่าจะทำอะไร อย่างไร ให้ใครทำ จะตั้งบรรษัทหรือไม่ จะใช้ระบบใด ก็ขอให้ถกกันโดยเหตุโดยผล ยกข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบแต่ละระบบมาถกกัน ยกประสบการณ์ของนานาประเทศมาพิจารณา เลิกใช้วาทกรรมประดิษฐ์ไร้ความหมายอย่างคำว่า “อธิปไตยพลังงาน” มาปลุกระดมผู้คนเสียทีเถิดครับ …อย่าดูถูกประชาชนนักเลยครับ

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในเฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich วันที่ 19 กรกฎาคม 2559 "อธิปไตยพลังงาน" ....วาทกรรมไร้ความหมาย (19 กรกฎาคม 2559)


ท่อก๊าซ ปตท. สำคัญไฉน

ท่อก๊าซ ปตท. สำคัญไฉน
โดย ฉกาจนิตย์ จุณณะภาต นักกฎหมายพลังงาน

จากการเดินสายชี้แจงเรื่อง hot issue ที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ต้องการให้ ปตท. แบ่งแยกท่อก๊าซของ ปตท. ไปให้รัฐ ในช่วงที่ผ่านมา นั้น


ผมเริ่มมองเห็นภาพว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ ปตท. กับ รัฐ อย่างที่เคยเข้าใจเสียแล้ว แต่การหาทางออกที่ไม่ถูกต้องของเรื่องนี้ จะกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนทุกคนมากทีเดียว

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คือ ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยจะเกิดความปั่นป่วนอย่างมาก เพราะขนาดของกลุ่ม ปตท. ในตลาดมีขนาดถึง 1 ใน 4 ของภาพรวม

เอกชนและนักลงทุน จะสูญเสียความเชื่อมั่นและไม่กล้าลงทุนในโครงการใหญ่อีก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนรัฐยึดไปเมื่อไหร่

นอกจากนั้น ระบบคุ้มครองสิทธิ์ของเอกชนโดยศาลจะสั่นคลอน เพราะคำพิพากษาของศาลไม่ถูกเชื่อถือโดยหน่วยงานของรัฐ

เรื่องย่อๆ เกี่ยวกับท่อก๊าซ ปตท. นี้ เพจ 'สรุป' ได้จัดทำไว้แล้วค่อนข้างดีสำหรับผู้ที่ไม่ได้ติดตามมาก่อน #สรุป #สรุปเดียว ลองอ่านกันได้ครับ

สำหรับในโพสต์นี้ ผมจะขอสรุปเรื่องนี้อีกครั้ง เพื่อจะเสริมให้พอเห็นภาพว่า เรื่องท่อก๊าซ ปตท. เริ่มต้นจากตรงไหน และหน่วยงานรัฐออกมาขอให้ ปตท. แบ่งแยกท่อก๊าซ โดยใช้หลักการอะไร

1. เมื่อปี 2544 ปตท. ได้แปลงสภาพตัวเองจากองค์การของรัฐให้ป็นบริษัทมหาชน เพื่อระดมทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ถามว่าทำให้ประสิทธิภาพต่างกันตรงไหนกับของเดิม เพื่อนๆ ลองเทียบการรถไฟ องค์การโทรศัพท์ กับ ปตท. การท่าอากาศยาน ทุกวันนี้ดูครับ

2. ในการแปลงสภาพ ปตท. ต้องใช้กฎหมายฉบับหนึ่ง เรียกย่อๆว่า 'กฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ' ซึ่งกำหนดว่า ทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่เดิม ให้โอนมาเป็นของ ปตท. ที่แปลงสภาพแล้วทั้งหมด กฎหมายกำหนดไว้แบบนี้ เพื่อให้บริษัทที่แปลงสภาพมีทุนในการดำเนินการต่อ มิเช่นนั้น ก็ต้องมาแบบตัวเปล่าๆ ซึ่งถ้าต้องหมดตัวเช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่า ปตท. จะแปลงสภาพมาเพื่ออะไร

3. หลังจากนั้นอีก 5 ปี มีกลุ่ม NGO ยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุด บอกว่า ปตท. แปรรูปไม่ได้ ผิดกฎหมาย ศาลท่านก็ตัดสินว่า การแปรรูป ปตท. เดินมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องให้เดินถอยหลังกลับไปอีก

4. แต่ครั้งนี้ ศาลได้วางหลักกฎหมายขึ้นมาบอกว่า แม้ ปตท. จะแปรรูปแล้ว แต่ก็ต้องแบ่งแยกทรัพย์สินที่ใช้ 'อำนาจมหาชน' ที่ได้มาก่อนแปรรูป ปี 2544 ให้กับรัฐนะจ๊ะ ซึ่งตอนนั้น ปตท. ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะไม่แฟร์กับนักลงทุน ก็ตอนที่ ปตท. เปิดขายหุ้นให้นักลงทุนทั่วไป ได้รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดไปแล้ว ไม่เห็นมีใครออกมาทักท้วงอะไร แต่พอผ่านมา 5 ปี จะมาแบ่งทรัพย์สิน ปตท. ไปเฉยเลย ก็เท่ากับว่านักลงทุนถูกหลอกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

แต่ศาลก็คือศาล ทุกคนต้องเคารพ มันคือกติกา ปตท. ก็ไม่มีปัญหาอะไร แบ่งแยกทรัพย์สินคืนไป

5. หลักการแบ่งทรัพย์สิน หน่วยงานต่างๆ ก็มาตกลงกันตามที่ศาลบอก คือ อันไหนที่ใช้ 'อำนาจมหาชน' ได้มาก่อน ปตท. แปรรูป ก็ให้กับรัฐไป ได้แก่ การเวนคืนที่ดิน การรอนสิทธิที่ดินเอกชน และทรัพย์สินที่อยู่บนที่ดินเหล่านั้น (ซึ่งก็คือ ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ปตท. นั่นเอง)

6. พอ ปตท. แบ่งแยกเสร็จ ก็ส่งคืนให้กับรัฐไปตามหลักเกณฑ์ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดก็เห็นด้วยว่า ปตท. ส่งท่อก๊าซให้รัฐตามคำพิพากษาครบแล้ว

7. แต่ปรากฏว่าวันที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งว่า ปตท. ส่งครบแล้ว สตง. กลับส่งหนังสือไปถึงศาลบอกว่า ปตท. ยังส่งคืนไม่ครบนะ โดยเฉพาะท่อก๊าซในทะเล

แต่ สตง. ก็ดันไปสัญญากับศาลว่า เรื่องที่ว่าจะคืนครบหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่ศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาละกันขอรับ สตง. เพียงแต่ให้ข้อมูลเพิ่มว่าศาลอาจจะได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ตอนที่รับรองว่า ปตท. ส่งท่อก๊าซครบแล้ว

8. ศาลปกครองสูงสุดก็ดูข้อมูลที่ สตง. ส่งมาให้ แล้วพิจารณาว่า ท่อก๊าซในทะเลไม่เข้าหลัก 'อำนาจมหาชน' ที่ศาลตัดสินเอาไว้ ดังนั้น ที่ศาลรับรองว่า ปตท. ส่งท่อก๊าซครบ จึงถูกต้องแล้ว ศาลก็เลยส่งหนังสือไปแจ้ง สตง. ว่า ศาลพิจารณาความเห็น สตง. แล้ว ก็ยังยืนยันแบบเดิมว่า ปตท. ส่งท่อก๊าซครบแล้ว 'ตามหลักกฎหมาย'

9. เรื่องท่อส่งก๊าซ ปตท. ก็เงียบไปอยู่หลายปี และ สตง. ก็รับรองงบการเงิน ปตท. ต่อตลาดหลักทรัพย์มาตลอดไม่มีประเด็นเรื่องท่อส่งก๊าซอีก ทุกอย่างดูเหมือนจะจบตามที่ศาลปกครองสูงสุดบอก

10. ปรากฏว่าหลัง คสช. ยึดอำนาจปี 2557 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ออกมาเคลื่อนไหวเรื่อง ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ปตท. อีกครั้ง คราวนี้ไปไกลกว่าเดิม ยิ่งกว่า สตง. คือ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง (อีกครั้ง) ขอให้ ปตท. แบ่งแยกท่อส่งก๊าซธรรมชาติทั้งหมด ไม่ว่าก่อนหรือหลังแปรรูป มูลค่า 68,000 ล้านบาท พูดง่ายๆ ว่าขอให้ ปตท. มอบท่อก๊าซทั้งหมดให้รัฐนั่นเอง เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินบอกว่าท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ประชาชนใช้ร่วมกันก็ต้องตกเป็นของแผ่นดิน!

11. พอกระแสถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง สตง. ที่เคยเงียบไป ก็ลืมสัญญาที่ตัวเองให้ไว้กับศาล ออกมาร่วมวงกับเขาด้วย โดยขอให้ ปตท. มอบท่อก๊าซในทะเลที่ สตง. เคยบอกไว้นานมาแล้วให้กับรัฐ แต่เนื่องจาก สตง. ไม่มีอำนาจไปฟ้องเรียกท่อก๊าซเอง จึงบังคับเชิงข่มขู่ว่า ให้คณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน ไปเอามาแทน สตง. มิเช่นนั้น สตง. จะฟ้องศาลให้เอาผิด!

เมื่อตอนนี้อำนาจศาลถูกท้าทาย ก็ต้องดูกันต่อไปครับว่า เรื่องนี้จะหาทางออกกันอย่างไร

สรุปคือ เรื่องท่อก๊าซธรรมชาติ ปตท. ก็กลับมาเป็นมหากาพย์ด้วยประการฉะนี้ครับ สาเหตุหลักเกิดจากมีบุคคลและหน่วยงานบางกลุ่มไม่เชื่อตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง

สำหรับในความเห็นส่วนตัวของผม การเอาท่อส่งก๊าซของ ปตท. ไปได้สำเร็จ นั้น อาจจะได้แค่เพียงความสะใจในช่วงสั้นๆ แต่ถ้ามองระยะยาวแล้ว มันไม่คุ้มกันเลยกับมูลค่าท่อเพียงไม่กี่หมื่นล้าน กับ ความพังพินาศของระบบความเชื่อมั่นของประเทศไทย ซึ่งประเมินค่าไม่ได้

ทุกวันนี้จึงได้แต่ภาวนาขอให้ผู้นำประเทศไทย ยึดมั่นในหลักกฎหมายและนิติรัฐอย่างมั่นคงครับ

----------------------------------------------------------------------------------------------------

แล้วถ้า เรื่องการที่จะให้กฤษฎีกาตีความเรื่องนี้ในขณะนี้ ทำได้หรือไม่? อย่างไร? ควรทำหรือไม่?

1. ความจริงแล้วมติ ครม. 18 ธันวาคม 2550 ที่รับทราบคำพิพากษาของคดีแปรรูป ปตท. บอกไว้ว่า หากมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษาของศาล ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ตีความครับ

2. แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือ ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งรับรองการคืนทรัพย์สินของ ปตท. เป็นเวลาถึง 1 ปี (ระหว่างวันที่ 18 ธ.ค. 2550 - 26 ธ.ค. 2551) ไม่มีหน่วยงานใดยื่นให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความคำพิพากษาเลยครับ แม้แต่ สตง. เองก็ตาม

ดังนั้น จึงมองเป็นอื่นไม่ได้ว่า ก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับรอง ปตท. นั้น หน่วยงานของรัฐเองก็ไม่เคยมองว่ามีข้อโต้แย้งในการตีความคำพิพากษา

3. แม้ว่าต่อมา สตง. เลือกที่จะลืมข้อเท็จจริงสองข้อข้างต้นนี้ไป และส่งหนังสือไปแจ้งศาลปกครองสูงสุดภายหลังที่ศาลมีคำสั่งรับรองไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2552 ว่า สตง. ไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกทรัพย์สิน (แทนที่จะส่งไปยังกฤษฎีกาตามมติ ครม.)

แต่ สตง. ก็ต้องไม่ลืมว่า ตนเองได้สละสิทธิ์ที่จะหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. 2552 เพราะ สตง. แจ้งศาลเองว่า "การแบ่งแยกทรัพย์สินครบถ้วนหรือไม่ ให้คำวินิจฉัยศาลเป็นที่สุด"

4. แต่พอศาลวินิจฉัยแล้วว่า ในความเห็นของศาล ปตท. ได้แบ่งแยกทรัพย์สินครบถ้วนตามคำพิพากษาแล้ว

สตง. กลับลืมคำมั่นสัญญาของตัวเองที่เคยให้ไว้ นำเรื่องส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตีความในสิ่งที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว

ดังนั้น ในความเห็นของผม จึงมองว่า การกระทำของ สตง. ที่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ควรทำและไม่เหมาะสมครับ เพราะเป็นการท้าทายอำนาจศาลปกครองสูงสุดโดยตรง และยังเป็นการผิดคำพูดของตัวเองอีกด้วย

สำหรับในมุมของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็น่าเห็นใจอยู่นะครับ เพราะเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล จะไม่รับเรื่องที่หน่วยงานรัฐส่งมาหารือก็ไม่ได้

ซึ่งเรื่องนี้ต้องถาม สตง. มากกว่าครับ ว่า เหตุใดจึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาล่าช้าไปถึง 7 ปี และถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นที่เหมือนศาลหรือแตกต่างจากศาล สตง. จะทำอย่างไรต่อไป?

เพราะความเห็นกฤษฎีกาไม่อาจเพิกถอนคำพิพากษาของศาลได้

ที่มา Pum Chakartnit

เปิดหลักฐานคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800ทับ2557

ตั้งข้อสงสัยการบิดเบือนคำสั่งศาลที่ว่า "เรื่องการไม่ปฏิบัติตามมติครม.เป็นเรื่องที่หน่วยราชการต้องไปว่ากล่าวกันเอง โดยคณะรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยงานทั้งหลาย"


ที่มา http://bit.ly/1WMIizy และ http://astv.mobi/A5rIX39

ข้อความนี้เป็นการยกคำพิพากษามาแค่ส่วนเดียว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด ถือเป็นการบิดเบือนคำสั่งศาลหรือไม่?? โดยสาระสำคัญของคำสั่งศาลฯ ดังกล่าว มีการระบุไว้ตอนหนึ่งอย่างชัดเจนว่า

“กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหนึ่งพันสี่ร้อยสิบห้าคนกล่าวอ้างว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษา ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันภายในหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของคณะรัฐมนตรี มิใช่เป็นเหตุที่จะกล่าวอ้างว่าเป็นการดำเนินการที่ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะเป็นกระบวนการที่กำหนดขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรีเท่านั้น




นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินคืนให้แก่กระทรวงการคลัง (ช่วงปี 2550-2551) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ก็ได้มีการรายงานให้ศาลปกครองสูงสุดรับทราบมาโดยตลอดเป็นจำนวนถึง 9 ครั้ง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2551 ศาลปกครองสูงสุดจึงได้มีคำสั่งว่า “ปตท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ที่สำคัญ คือ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ศาลชั้นต้นก็ได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ที่มาจากการอุทธรณ์ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับพวกรวม 1,455 คน ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 สามารถสรุปได้ดังนี้

1. ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนยันตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง คือ ไม่รับคำฟ้องอุทธรณ์ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความ เนื่องจาก ปตท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาในคดีแปรรูป ปตท. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
2. การที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับพวกรวม 1,455 คน ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ ปตท. ส่งคืนท่อส่งก๊าซธรรมชาติทั้งในทะเลและบนบก จึงเป็นการขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดในประเด็นที่ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว จึงเป็นกรณีที่ต้องห้าม
3. สำหรับประเด็นข้อกล่าวอ้างที่ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 กำหนด (เรื่องที่ให้ สตง. รับรอง) ไม่ใช่เหตุที่จะกล่าวอ้างว่าการดำเนินการตามคำพิพากษายังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมาย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าจากคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ จึงเป็นการวินิจฉัยที่ยุติประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับเรื่องการส่งคืนท่อส่งก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ทั้งหมด โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ปตท. ได้ส่งคืนท่อส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่กระทรวงการคลังครบถ้วนตามคำพิพากษาแล้วตั้งแต่ปี 2551 แล้ว


ที่มาบางส่วนจากบทความ : ศาลตัดสินแล้ว! ปตท. คืนท่อส่งก๊าซธรรมชาติครบถ้วนหรือไม่ http://thaipublica.org/2015/02/chakartnit-4/

ตั้งข้อสงสัยถึง สตง เรื่องการรับรองรายงานบัญชีประจำปีของ ปตท. กับ การตรวจสอบเรื่องคืนท่อก๊าซ

หากท่านผู้อ่านได้เคยอ่านรายงานประจำปี ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ อย่างหนึ่งที่ต้องมีคือ การตรวจสอบเอกสาร รับรองทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายต่างๆ และในกรณีของบริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจด้วยแล้ว รายงานประจำปี ย่อมมีความเข้มงวดในการตรวจสอบจาก หน่วยงานต่างๆ


กลับมาที่เรื่อง การคืนท่อส่งก๊าซ ที่เป็นคดีกันอยู่ขณะนี้ระหว่าง ปตท. กับ คตง. ที่ได้มีการออกสื่อไปต่างๆ ซึ่งขัดกับการระบุลงไปในรายงานประจำปี ของ ปตท. โดยสิ้นเชิง ดังนั้นน่าจะต้องกลับมาตั้งข้อสังเกตุที่เป็นหน่วยงานที่ทำการตรวจสอบบัญชีว่า มีจุดประสงค์ใดกันแน่

1. สตง. ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จากที่ให้ความเห็นเรื่องท่อในทะเลถือเป็นสาธารณะสมบัติ เป็นการตีความโดยไม่เป็นไปตามคำสั่งศาลและการพิจารณาของ ครม. หรือไม่?

2. สตง. บกพร่องในหน้าที่ เนื่องจากได้รับข้อมูลแบ่งแยกทรัพย์สินจาก ปตท. ตั้งแต่เดือนม.ค. 2551 แต่ดำเนินการล่าช้า โดยให้ความเห็นไม่ทันกำหนดเวลาที่ต้องรายงานศาลในเดือน ธ.ค. 51 หรือไม่?

3. สตง. ปกปิดความบกพร่องของตนเอง กล่าวร้ายผู้อื่น ขาดจริยธรรมและจรรยาบรรณของการปฏิบัติหน้าที่หน่วยงานตรวจสอบของรัฐ โดยกล่าวหา ปตท. ว่าให้ข้อมูลไม่ครบต่อศาล ทั้งที่เป็นผู้ให้ข้อมูลล่าช้าเอง และยังปกปิดข้อเท็จจริงที่ศาลมีความเห็นยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรกลับไปที่ผู้ว่า สตง. หรือไม่?

4. สตง. ไม่รักษาจุดยืน ขาดดุลยพินิจในความเหมาะสมของการปฏิบัติหน้าที่ โดยเคยมีหนังสือยอมรับคำตัดสินศาลเป็นที่สิ้นสุด แต่ยังมีความเห็นขัดแย้งตลอดมา สร้างปัญหาให้กับข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทมหาชน ในการปฏิบัติราชการ และสร้างความสับสนให้กับสังคม และความเสียหายกับเศรษฐกิจ หรือไม่?

5. สตง. กระทำความผิดร้ายแรง ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ผู้รับสอบบัญชี ไม่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ผู้รับสอบบัญชีให้บริษัทมหาชนต่อไป เพราะในฐานะผู้รับสอบบัญชีของ ปตท. ที่ได้รับแต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้น เมื่อมีความเห็นว่าท่อในทะเลเป็นทรัพย์สินที่จะต้องคืนให้รัฐ แต่กลับรับรองงบดุลต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 โดยไม่บันทึกความเห็นใดๆ ประกอบงบ กระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนไทยและต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ สร้างความสับสนและเสียหายต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทจดทะเบียน หรือไม่?

6. สตง. ขาดสำนึกในเรื่องการดำเนินการโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน ในกรณีการตรวจสอบทรัพย์สินของ บมจ.ปตท. จากการแปลงสภาพการปิโตรเลียมฯ เนื่องจากบทบาทผู้ตรวจสอบที่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐ และผู้รับสอบบัญชีที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น มีประโยชน์ขัดแย้งกัน ควรที่จะต้องประกาศต่อผู้ถือหุ้น และไม่รับเป็นผู้รับสอบบัญชีให้ ปตท. ตั้งแต่ปี 2552 หรือไม่?

7. สตง. ใช้อำนาจโดยมิชอบ สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกล่าวหาว่าละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่ครม.มีมติมอบหมายการปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างเป็นทางการ และผู้รับมอบหมายได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน หรือไม่?

8. ผู้ว่า สตง. กระทำการเกินอำนาจหน้าที่ ผิดมารยาทและจรรยาบรรณของผู้ตรวจสอบ โดยให้สัมภาษณ์สื่อสาธารณะและให้ข้อมูลบุคคลภายนอกเกี่ยวกับผลการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ คตง.จะเห็นชอบอย่างเป็นทางการ หรือไม่?

และหากเป็นเช่นนี้ การที่ให้ข้อมูลเรื่องการพิจารณานำคืนท่อก๊าซในส่วนเส้นที่ไม่ได้ใช้อำนาจมหาชนในการรอนสิทธิคืนนั้น อาจจะยังส่งผลให้ต้องตีความเรื่องอื่นๆ ของ สตง. เกี่ยวกับทรัพย์สินที่เป็นสาธารณะสมบัติซึ่งต้องคืนให้รัฐ จะมีผลลูกโซ่ถึงรัฐวิสาหกิจที่แปลงสภาพเป็น บมจ. อื่นๆ ตามมาอีกหรือไม่?

หมายเหตุ เอกสารรายงานผู้สอบบัญชีโดย สตง. ในรายงานประจำปีของ ปตท. ตั้งแต่ปี 2550 - 2558 จะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2550 - 2551 มีการระบุเรื่องการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีปรากฎรายละเอียดเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด












มหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท. ยังไม่จบ จริงหรือ?

"มหากาพย์การฟ้องคดีทวงคืนท่อก๊าซ ทรัพย์สินแผ่นดิน ยังไม่จบ จริงหรือ?" ยาวมาก แต่อยากให้อ่าน สาเหตุ

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีกครั้ง กับการทวงคืนท่อก๊าซที่น่าจะจบตามคำพิพากษาไปแล้ว แต่อาจไม่จบตามจริต ความจริงเรื่องท่อก๊าซนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ศาลปกครองเคยมีคำสั่งรวมถึงคำพิพากษาประเด็นนี้มาแล้วถึง 5 ครั้ง ถ้าจะให้ย้อนไปก็ตั้งแต่ 26 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ศาลได้มีคำสั่งว่า ปตท. ได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กระทั่งล่าสุดเมื่อ 7 เมษายน 2559 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ฟ้อง (มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ คุณ รสนา) อีกครั้ง ก็ยังมีการตั้งคำถามอีกรอบ สร้างความสับสนเคลือบแคลงให้ประชาชนสับสนในข้อเท็จจริงว่า

"มหากาพย์การฟ้องคดีทวงคืนท่อก๊าซ ทรัพย์สินแผ่นดิน จบแล้ว จริงหรือ?" เพราะศาลยังไม่ได้พิจารณาเนื้อหาในประเด็นแห่งคดี การถูกยกคำร้องเป็นปัญหาแพ้ทางเทคนิคกฎหมายเท่านั้น
ถ้าผู้ที่ยังสงสัย ได้อ่านคำสั่งของศาลปกครองล่าสุด (ลงวันที่ 7 เมษายน 2559) รวมถึงคำสั่งในครั้งที่ผ่านๆ มา ด้วยใจที่ปราศจากอคติ ก็น่าจะเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาศาลฯ ได้ชี้แจงประเด็น รวมถึงข้อกฎหมายต่างๆ ไว้ครบถ้วน

ประการแรก คือ ศาลฯ ไม่ได้ตัดสินโดยอาศัยเหตุที่ว่าผู้ฟ้องไม่ใช่คู่ความฝ่ายที่ชนะคดี (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (และในคำสั่งของศาลไม่ได้ใช้คำว่า ประชาชนผู้ฟ้องคดีไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ด้วย) เพราะในคำสั่งยังอ้างข้อเท็จจริงของคดีที่ผู้ฟ้องได้เคยยื่นคำร้องลงวันที่ 3 มี.ค. 2552 ที่ขอให้ศาลไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ ปตท. ต้องแบ่งแยกให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษา ซึ่งจริงๆ แล้วในคดีนั้นในคำร้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ยื่นต่อศาลฯ ก็ได้มีการแนบหนังสือทักท้วงของ สตง.เข้าไปด้วย และจริงๆ ศาลฯ ก็ได้รับรายงานการตรวจสอบของ สตง. มาหลายวาระ และโดยอย่างยิ่ง หนังสือ สตง. ฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ก็ยังได้ระบุความเห็นในตอนท้ายไว้เลยว่า “....การดำเนินการแบ่งแยกจะครบถ้วนและเป็นไปตามคำพิพากษาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่จะพิจารณาซึ่งคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดถือเป็นยุติ...” เพราะความถูกต้องครบถ้วนของการแบ่งแยกทรัพย์สินตามคำพิพากษาของศาลฯ องค์กรเดียวที่จะชี้ขาดในเรื่องนี้ได้ก็คือศาล.... ดังนั้น ที่อ้างว่า การที่ประชาชนผู้ฟ้องคดีถูกยกคำร้องทุกครั้งจึงเป็นแค่ปัญหาแพ้ทางเทคนิคกฎหมาย (technical foul) เพราะศาลปกครองยังไม่เคยพิจารณาเนื้อหาแห่งคดีในคำฟ้องของประชาชนเรื่องการแบ่งแยกทรัพย์สินคืนแผ่นดินยังไม่ครบถ้วนเพราะมีการลัดขั้นตอนในส่วนที่เป็นสาระสำคัญของกระบวนการแบ่งแยกทรัพย์สิน จึงไม่จริง!!
ประการที่สอง เรื่องการตีความของกฤษฎีกา การตั้งคำถามเป็นเรื่องที่ดี แต่การอดทนรอการพิจารณาที่ถี่ถ้วนน่าจะดีกว่า เพราะ ขนาดคดีแบ่งแยกทรัพย์สิน ยังใช้เวลาในการยื่นฟ้องพิจารณา รวมถึงยื่นซ้ำอีก ต่อเนื่องกันกินเวลามาทั้งหมด จะเกือบสิบปี โดยที่ยื่นทุกครั้งก็มีการพิจารณาทุกครั้ง ฉะนั้นแล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแน่นอน

ส่วนในกรณีของ อดีต รมว กระทรวงการคลังที่มีการตั้งคำถามถึงท่อก๊าซในทะเล ว่าควรเป็นของใครและมีการเทียบไปถึงว่าควรต้องคืน เพราะมีการยกเทียบการเช่าที่ของผู้ค้าริมหาดไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนให้รัฐ ตั้งเพื่อประโยชน์ส่วนตน

กรณีนี้ศาลปกครองได้วินิจฉัยให้ทรัพย์สินของ ปตท. ที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนส่งมอบให้กับรัฐ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าท่อก๊าซบนบกบางส่วนนั้น อยู่บนที่ดินได้มาจากการใช้อำนาจมหาชน เช่น การเวนคืนที่ดิน หรือ การรอนสิทธิที่ดินของเอกชน ส่วนนี้จึงส่งมอบให้แก่รัฐไป แต่ท่อส่วนที่ ปตท. ลงทุนเองที่อยู่บนที่ดินที่ไม่ได้มาจากการเวนคืนที่ดิน หรือ รอนสิทธิที่ดินของเอกชน ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขที่ศาลปกครองวินิจฉัย ถ้าให้ส่งมอบท่อเหล่านั้นให้รัฐคงต่อไปไม่มีคนกล้ามาลงทุน ท่อก๊าซในทะเลก็เช่นกัน ไม่ได้อยู่บนที่ดินที่มาจากการเวนคืนที่ดิน หรือ รอนสิทธิที่ดินของเอกชน ซึ่งไม่ใช่การใช้อำนาจมหาชน ดังนั้นท่อก๊าซในทะเล จึงไม่เข้าข่ายที่ต้องส่งมอบให้แก่รัฐ และ พื้นที่ในทะเลเป็นพื้นที่ของรัฐ จึงไม่จำเป็นต้องมีการเวนคืนที่ดิน หรือ รอนสิทธิที่ดิน

การวางท่อในทะเลจึงมีเพียงจะต้องขออนุญาตต่อหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ เช่น กรมเจ้าท่า กองทัพเรือ กรมประมง เป็นต้น ถ้าหน่วยงานของรัฐอนุญาตให้ใช้พื้นที่ได้ เอกชนรายใดก็สามารถใช้พื้นที่ในทะเลได้ ส่วนเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐนั้น เรื่องนี้ผมคิดว่า ท่านรู้ดีอยู่ว่า การจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐนั้น มีหน่วยงานรัฐกำกับอย่างคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน รวมไปถึงหน่วยงานอย่าง สตง.ตรวจสอบรายรับรายจ่ายอีกด้วย และเอาเรื่องการวางท่อไปเทียบกับการค้า ท่านไม่คิดถึงว่า มันต่างกัน การวางท่อนั้น จุดประสงค์คือเพื่อส่งต่อ พลังงานให้เราคนไทยทุกคนได้ใช้กัน มีพลังงานไม่ขาดแคลน ไปเทียบกับการขายของริมหาดได้อย่างไร

ดังนั้น เรื่องประเด็นเรื่องท่อก๊าซควรจะจบได้แล้วตามกระบวนการของกฎหมายที่ศาลได้ตัดสินแล้วโดยชอบ หรือ ถ้าไม่จบก้อเพราะมันไม่เป็นไปตามหวังของใครบางคนหรือไม่?

เรื่องที่เกี่ยวข้องกัน หลักฐานชิ้นสำคัญชี้ชัดว่า สตง. ยอมรับ ปตท. คืนท่อก๊าซครบถ้วน

หลักฐานชิ้นสำคัญชี้ชัดว่า สตง. ยอมรับ ปตท. คืนท่อก๊าซครบถ้วน

ถ้าเห็นข้อมูลประกอบนี้ ควรได้เวลายุติเสียที เรื่องทวงคืนท่อก๊าซ จากกลุ่มคนบางกลุ่มที่เป็นมหากาพย์ยืดยาวกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นมหากาพย์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2549 เพิ่งจะมาเป็นที่ยุติเด็ดขาดเอาเมื่อ 16 ก.พ. 2558 นี้เอง แต่ก็ไม่วายที่ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มออกมาพูดไปวกไปวนมา ทวงคืนกันไม่ยอมจบซะที



ผู้ฟ้องก็คือ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (เจ้าเก่า) ส่วนผู้ถูกฟ้องก็กราวรูดกันมาตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน ปตท. และกระทรวงการคลัง

เริ่มตั้งแต่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจปตท. ศาลปกครองสูงสุดยกคำร้อง

แต่ยังมีรายละเอียดในเรื่องของการแบ่งแยกทรัพย์สินคือท่อส่งก๊าซว่าอันไหนเป็นของรัฐ ต้องส่งมอบคืน และอันไหนยังคงเป็นของปตท.

เกณฑ์ตัดสินของศาลฯ ท่านก็ยึดเอาว่า ทรัพย์สินที่ได้มาจากการใช้อำนาจเวนคืน รอนสิทธิเหนือที่ดินเอกชน และใช้เงินลงทุนของรัฐ ปตท.ต้องคืนให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การใช้ท่อจากนี้ไปจะต้องมีค่าเช่า

ส่วนทรัพย์สินที่ บมจ.ปตท.เป็นผู้ลงทุนเองทั้งบนบกและใต้ทะเล ก็ให้ถือว่ายังคงเป็นสมบัติของ ปตท. ไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินคืนรัฐ

มูลนิธิอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ยังติดใจคำสั่งศาลว่า ทำไมยังมีส่วนแบ่งแยกให้เป็นทรัพย์สินของ ปตท.อยู่อีก จึงยื่นคำร้องฟ้องต่อศาลกันใหม่อีก

ฟ้องร้องเรื่องปตท.ส่งทรัพย์สินคืนไม่ครบ ฟ้องไปที่ศาลปกครองกลางบ้าง ศาลปกครองสูงสุดบ้าง ศาลท่านก็ยกคำฟ้องทุกครั้งไป

แต่มูลนิธิแห่งนี้ ก็ยังใช้สิทธิ “ฟ้องซ้ำ-ฟ้องซ้อน” ได้ ไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง

ระหว่างนั้น ช่วง 9 ปีมานี้ ก็มีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือสตง.บ้าง คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลบ้าง หรือกลุ่มพลังทวงคืนปตท.บ้าง สลับหน้ากันเข้ามาเชียร์ผู้ฟ้องร้องกันเป็นระลอก

อย่างกับละครเลยล่ะครับ ช่วง 9 ปีที่ต่อสู้กัน มีทั้งบทลักไก่ บทพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวหรือ “ฮาล์ฟ ทรูทช์” หรือบทเฮละโลทำเนียน ตีหน้าซื่อ แต่จะขอโค่นล้มคุณเสียให้ได้

สตง.ยุค “คุณหญิงเป็ด” ผ่านไป นึกว่าการจองล้างจองเวรปตท.จะหมดไปแล้ว แต่ สตง.ยุคคุณพิสิษฐ์ ลีลาวัชโรบล กลับเฮี้ยบไม่แพ้กันสักเท่าไหร่เลย

เทียวไล้เทียวขื่อฟ้องร้องหน่วยงานต่างๆ ว่า ปตท.ยังคืนทรัพย์สินไม่ครบถ้วนอยู่นั่นแหละ

มิใย ปตท. กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พลังงาน จะชี้แจงกลับไปว่า ปตท.ส่งคืนทรัพย์สินเข้ารัฐครบถ้วนไปแล้ว แต่ สตง.ก็ไม่ฟัง

ศาลปกครองยกคำร้องมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สตง.ของท่านพิสิษฐ์ก็ไม่ยอมรับรู้รับเห็นด้วยแต่ประการใด

- ข้อน่าพิรุธตรงหนังสือสำคัญลงวันที่ 10 มี.ค. 2552 ที่สำนักงานศาลปกครองแจ้งไปยัง สตง. มีข้อใหญ่ใจความว่า ปตท. ได้ส่งคืนทรัพย์สินเรียบร้อยแล้ว ตามคำพิพากษาของศาลปกครองนี่สิ... -

- ไม่รู้ สตง.ไปทำตกหล่นสูญหายได้อย่างไร -

สตง.ถึงได้เล่นบท “ผู้ไม่รับรู้” และเข้าไปเล่น “เกมโค่นล้ม” เกมเดียวกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเช่นนี้

ล่าสุด ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งเด็ดขาดยกคำร้องมูลนิธิฯและพวกจำนวน 1,455 คน กรณีคืนท่อก๊าซปตท.ไปเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2558 พร้อมทั้งจำหน่ายคดีออกจากสารบบไปแล้ว

** หมายเหตุล่าสุดก็เริ่มมีการฟ้องร้องทวงคืนกันอีกระลอก ซึ่งข้อมูลที่นำมาเสนอนี้ น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคมที่ไล่แชร์ ไล่ทวงคืนกันไม่บันยะบันยัง โดยไม่สนข้อมูล หรือแม้แต่คำตัดสินของศาล ว่ากรณี้น่าจะยุติได้แล้ว เพราะจำหน่ายออกจากสารบบ

เรื่องเก่า ลำดับเหตุการณ์ การคืนท่อก๊าซ

ผลการตัดสินของศาลปกครอง 

มหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท. ยังไม่จบ จริงหรือ?