Showing posts with label อธิปไตย. Show all posts
Showing posts with label อธิปไตย. Show all posts

วาทกรรมประดิษฐ์ ทำให้เข้าใจผิดเรื่องพลังงาน

ถ้ามีใครได้เห็นหรือว่า วาทกรรมประดิษฐ์ที่กลุ่ม คปพ และ พธม สร้างมา โดยเป็นประเด็นเดิมๆ กลุ่มการเมืองที่หันมาเอาดีเรื่องพลังงาน มาตีเป็นกระแสบังหน้า มาระดมมวลชน สร้างวาทกรรมประดิษฐ์ อ้างรักชาติ ตีรวน หวังจะสร้างราคา ผมขอสรุปเลยดีกว่า

ที่มาภาพ https://www.facebook.com/nongposamm/photos/a.1548159858783765.1073741828.1547935488806202/1766799376919811/?type=3&theater

- ไทยเราผลิตน้ำมันดิบเกรดดีได้ในบางแหล่งก็จริง แต่ความต้องการใช้ในประเทศรวมไปถึงโรงกลั่นออกแบบมาให้กลั่นน้ำมันได้ออกมาตามความต้องการใช้งาน ไทยเราใช้ดีเซลมากกว่าเบนซิน ดังนั้น จะให้เอาน้ำมันดิบมากลั่นได้แต่เบนซิน แล้วนำเข้าดีเซลเยอะๆ ได้อย่างไร สู้ส่งเอาน้ำมันดิบเกรดนั้นซึ่งกลั่นได้สัดส่วนเบนซินเยอะขายออก เอาเงินเข้ารัฐได้มากกว่า น้ำมันที่ส่งออกก็ต้องจ่ายค่าภาหลวงให้กับรัฐ และหากมีกำไรตอนปลายปีก็ต้องนำไปรวมเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมด้วย และนำเข้าน้ำมันดิบที่กลั่นได้สัดส่วนดีเซลเยอะเพื่อมากลั่นให้พอใช้กับความต้องการใช้ดีเซลไม่ดีกว่าหรือ? ซึ่งการส่งออกน้ำมันดิบของไทย นั้นน้อยมาก และการส่งออกน้ำมันดิบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ประเทศต่างๆ ก็ส่งออกกัน แบบนี้ประเทศเหล่านั้นคิดผิด? เค้าเสียอธิปไตยทางพลังงาน?

- ราคาน้ำมันประเทศไทยกับเพื่อนบ้าน แต่ละประเทศมีนโยบายที่ต่างกัน โครงสร้างราคา มาตรฐานน้ำมัน พลังงานทดแทนด้วย พม่านำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากไทย แต่ความจริง พม่านำเข้าจากสิงคโปร์เยอะที่สุด ซึ่งราคาน้ำมันสำเร็จรูปในพม่าถูกกว่าสิงคโปร์ แบบนี้สิงคโปร์ผิดหรือไม่ที่ขายน้ำมันในประเทศแพงกว่าพม่า ราคาต่างกันลิตรนึงประมาณ 20 บาท มีคนพยายามเปรียบเทียบราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ไทยกับมาเลเซีย และบอกว่าจะนำเข้าจากมาเลเซียที่ถูกกว่ามาขาย ซึ่งนำเข้าได้ แต่ต้องถูกกฎหมาย นำเข้าก็ต้องเก็บภาษี ตามนโยบาย ต้องปรับปรุงคุณภาพให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมของไทย ต้องมีส่วนผสมพลังงานทดแทน สุดท้าย ก็ราคาขายเท่ากันเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ได้มา คือเงินตราของประเทศไหลออก และวาทกรรมปลอมๆ หลอกให้เข้าใจผิดว่า มาเลเซียดีกว่าไทย น้ำมันถูกกว่าไทย

- มีการบอกว่า ถ้ามีบรรษัทพลังงานแห่งชาติ จะได้ตั้งราคาขายน้ำมันได้เองถูกๆ ไม่ต้องมีก็ตั้งได้ครับ ไม่ต้องอิงตลาดไหน กำหนดเอง แต่มาตรฐานอยู่ตรงไหน ความถูกที่สุด หรือราคาเป็นธรรมที่ทุกภาคส่วนได้รับ คนขาย และ คนซื้อ หรืออย่างไร และรายได้รัฐจะลดลงหรือไม่ ขัดกันหรือไม่กับความต้องการให้รัฐมีรายได้มากๆ สุดท้ายเราก็จะได้อีก วาทกรรมราคาเป็นธรรม ไม่ต้องอิงราคาจากไหน

- ทรัพยากรปิโตรเลียมนั้นเป็นของรัฐไทยอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึงเป็นของคนไทยทั้งประเทศ แต่รัฐให้สิทธิเอกชนมาดำเนินการ ภายใต้ระบบ สัมปทาน ที่รัฐได้ผลตอบแทนในรูปค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และผลตอบแทนพิเศษอื่นๆ เรามีแหล่งปิโตรเลียมขนาดเล็กกระจัดกระจาย การสำรวจกว่าจะค้นพบและพัฒนาได้มีความเสี่ยงสูง รัฐจึงเลือกไม่รับความเสี่ยง ตรงนี้ข้อมูลทางธรณีวิทยา บอกอยู่แล้ว ไม่ต้องเดา ไม่ต้องมาสร้างวาทกรรมบิดเบือนหลอกผู้คน นี่ไงครับ ได้มาอีก อธิปไตยพลังงาน วาทกรรมประดิษฐ์

- อายุสัมปทานของ แหล่ง บงกช เอราวัณ กำลังจะหมดลง แต่รัฐบอกจะต่อให้รายเดิม มีใครที่ไหนเคยบอกว่าต่อให้รายเดิม เพราะตามกฎหมายระบุชัดเจนว่าต่อไม่ได้ แต่รัฐเสนอแนวทางในการบริการจัดการภายใต้หลักการทางวิชาการ เศรษฐศาสตร์ ความเป็นไปได้ในการชักจูง เชิญชวนให้เกิดการลงทุน ภายใต้เงื่อนไขจำกัดในเรื่องศักยภาพที่ตะต้องมึการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายคือสร้างความต่อเนื่องในการผลิตก๊าซธรรมชาติ แต่เพื่อตอบโจทย์การเรียกร้องของสังคมมติ กพช. จึงออกมาเห็นชอบให้ใช้การประมูลเพื่อบริหารจัดการทั้งสองแหล่ง (เป็นไงบ้าง เชื่อยังว่าโดนคณะเกาะการเมืองนี้หลอก)

- รัฐไม่มีอำนาจในการผลิตปิโตรเลียม ไม่มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี ก็ไม่จริงอีกเช่นกัน เพราะรัฐยังสามารถ กำกับดูแลผู้รับสัมปทานได้ตามกฎหมาย ส่วนการถ่ายทอดเทคโนโลยี ก็เห็นได้ชัดจาก การให้ทุนพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกรรรมปิโตรเลียม ที่สำคัญคุณเคยรู้หรือไม่ปัจจุบันในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีคนไทย สัญชาติไทยปฎิบัติงานอยู่เกือบ 100% โดยที่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ก็เห็นได้ชัดจาก การให้ทุนพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกรรมปิโตรเลียม และการที่ ปตท.สผ. สามารถเป็นโอเปอเรเตอร์ได้เอง เราไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดนคณะนี้หลอกซ้ำซ้อนสร้างวาทกรรมรัฐเสียเปรียบอีก นึกถึงหรือไม่?

- มีการบอกว่า รัฐไม่ฟังเสียงที่เสนอร่าง พรบ. ที่ภาคประชาชนเสนอไป รัฐได้ฟังข้อเสนอแล้ว แต่ก็ต้องมองว่าอันทำได้และปฎิบัติได้จริง ดังนั้นก็มีใส่ระบบต่างๆ ลงไปตามที่เสนอ ทั้ง จ้างผลิต แบ่งปันผลผลิต ลงไปด้วยแล้ว เพียงแค่มันไม่ได้ถูกใจกลุ่มคุณใช่หรือไม่ เลยเป็นที่มาว่า รัฐไม่ทำตามเสียงประชาชน

- มีการกล่าวอีกว่าเอกชนผลักค่าเสียหาย สิ่งแวดล้อมให้รัฐ ก็ไม่จริงอีก เพราะการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงปรับสภาพพื้นผิวให้เหมือนเดิมหลังสัมทานหมดอายุ เป็นความรับผิดชอบของผู้รับสัมปทานเอง ได้วาทกรรมมาอีก รัฐเสียเปรียบเอกชน เอกชนเอาเปรียบเรา

- มีการกล่าวไปอีกเอกชนผลักความเสี่ยงให้รัฐในระบบภาษี มีการยกเว้นภาษีและหักค่าใช้จ่ายได้มากกว่าธุรกิจทั่วไปของประชาชน ก็ไม่จริง ทุกอย่างก็เป็นไปตามข้อกฏหมาย ที่เชิญชวนเขามาลงทุน อันนี้น่าจะปิดประเทศไปเลย ไม่ต้องส่งเสริมธุรกิจร่วมทุน

- มีการกล่าวอีกมีการใช้ดุลพินิจของข้าราชการและนักการเมือง ก็ไม่จริงอีก เพราะการตัดสินใจ มีระบบ หลักเกณฑ์ เป็นรูปแบบคณะกรรมการ มีกฏหมายรองรับ ไม่ใช่ใครอยากจะให้เป็นแบบไหนก็ได้ (45 ปีที่มี พ.ร.บ. 2 ฉบับมาไม่เคยเขียนถึงการให้ต่ออายุสัมปทานหลังจากหมดอายุที่อนุญาตให้ผลิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะเวลาการผลิตได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ระยะสำรวจใน Thailand II Concession Scheme สั้นกว่า Scheme อื่นๆ เสียด้วยซ้ำไป) ได้วาทกรรมรักชาติปลอมๆ เอาการเมืองเอาสีมาโหนเล่น ให้เกลียดกัน

- การผลิตไฟฟ้าให้พอดีและทันกับความต้องการของประเทศ ไม่ใช่พิจารณาแค่ไฟฟ้าสำหรับภาคครัวเรือน 2 ล้านหลังคาเรือนเท่านั้น แต่ยังมีภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เป็นตัวขับเคลื่อน และสร้างความมั่นคงของประเทศ
- พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานที่สะอาด แต่อย่างไรก็ตามการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนนี้ ยังไม่สามารถเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ได้ ทดแทนแหล่งพลังงานหลักได้ รวมทั้ง ราคายังสูงมาก การพัฒนาเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าไปมาก ต้นทุนลดลงมากเช่นกัน แต่ก็คงยังสูงอยู่เมื่อเทียบกับการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล (เป็นไงวาทกรรมเกี่ยวไฟฟ้า)

- ก๊าซไทยแพงกว่าตลาดโลก อันนี้เข้าใจผิดหลายรอบละ ออกรายการก็ออก ถึงขั้นไปตัดเทปรายการทิ้งเลย ผู้รับสัมทานขายก๊าซปากหลุมแพงกว่าตลาดโลก ก็ไม่จริงอีก ราคาก๊าซซื้อขายโดยอิงกับราคาที่ผู้ใช้รายใหญ่ในภูมิภาคซื้อ คือ JKM หรือ Japan/Korea Marker เนื่องจากสองประเทศนึ้เป็นประเทศใหญ่ในการซื้อขาย LNG ราคา Spot ที่ประเทศอื่นจะซื้อจึงอิง JKM เป็นหลัก และราคานี้ก็ใช้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคเท่านั้น และก๊าซที่บอกว่าถูกของสหรัฐอเมริกา เมื่อต้องแปรสภาพและขนส่งมา บวกค่าลงทุนสร้างคลังและสถานีรับจ่ายแล้ว ก๊าซที่ผลิตในไทยเฉลี่ยย้อนหลังแล้วยังถูกกว่า (แนวโน้มการซื้อขาย LNG จะเป็นการซื้อขายแบบเป็นคอนแทรค (Contract) มากขึ้นๆ เรื่อยๆ หลลังจากที่โรง LNG ใหญ่ๆ สร้างเสร็จอย่างโรงที่ ปตท.สผ. ไปร่วมทุน แหล่งของ Exxon และของบริษัทออสเตรเลีย ในประเทศปาปัวนิวกินี และแหล่งในทะเลทางตะวันตกเฉียงเหนือที่เชลล์สร้างโรง LNG ลอยย้ำห่างจากฝั่ง 300 กิโลเมตรชื่อ Prelude ซึ่งมีระวางขับน้ำรวม 600,000 ตัน (เท่ากับของเรือบรรทุกเครื่องบินนิมิส 7 ลำ) ก็พอสบายใจได้อุปทาน แต่ยังไงๆ เรื่องราคาก็ยังต้องคงอิงราคาที่นิยมใช้กันเป็นกรณีๆ กันไป) ที่สำคัญคือรัฐได้ค่าภาคหลวง ภาษี เกิดการจ้างงาน เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจดีกว่า ก๊าซนำเข้า อันนี้วาทกรรมก๊าซของไทยแพงกว่าตลาดโลก

- วาทกรรมแปรรูปขายหุ้นหมดเร็ว 77 วินาที อธิบายกันมาหลายรอบ เป็น 10 กว่าปี ขายหมดเร็วเพราะมีการให้ความมั่นใจนักลงทุน แถมก่อนหน้าก็มีการเปิดจองทดลองแล้วคนก็ไม่สนใจ หุ้นต่ำเพราะมีเหตุการณ์ 911 หุ้นมันก็ตกต่ำทั่วโลก แถมหุ้นยังมีต่ำกว่าราคา 35 บาทด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจดีขึ้น ราคามันก็เพิ่มมาเป็นปกติ เป็นไงบ้าง วาทกรรมขายหุ้นหมดเร็ว ตอนหุ้นตก เหลือ 28 บาท ไปทำอะไรกันอยู่ เรื่องท่อ ถ้าไปอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองว่าให้ ปตท.ส่งมอบที่ดินและสิ่งอื่นๆ ที่ได้มาด้วยอำนาจรัฐ (เช่นเดียวกับการเวนคืน และการใช้พิ้นที่ของเอกชนโดย กฟผ. กฟภ. และกฟน.) ซึ่งหลักๆ ก็หมายถึงที่ดิน ไม่รวมถึงตัวท่อและอุปกรณ์ ไม่งั้นในอนาคตจะเป็นเรื่องประหลาดมากระดับกินเนสที่ กฟผ.ผลิตไฟฟ้าแล้วต้องไปเช่าสายส่งจากกรมธนารักษ์มาส่งไฟฟ้าให้ลูกค้า ศาลตัดสิน คนทำก็ทำตามศาลตัดสิน อันไหนไม่เข้าข่ายให้ทำนอกเหนือคำตัดสินได้อย่างไร สุดท้ายเจ้าหน้าที่ทำตามหน้าที่ จะให้ละเมิดคำตัดสิน?

- การที่บอกว่า ประเทศไทยมีโรงกลั่นมากมายเราจะได้ใช้ราคาน้ำมันที่ถูกนั้น ในอดีตการใช้ไม่ได้มากมายเท่าในปัจจุบัน โปรดตระหนักให้มั่น เราผลิตได้แค่ประมาณ 15% ที่เหลือต้องนำเข้าที่เหลือ และถ้าเราต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างเดียว ความมั่นคงทางพลังงานจะอยู่ที่ไหน

- วาทกรรมประเทศไทยโชติ์ช่วงชัชวาลย์ ตีความหมายคำนี้ว่า พลังงานถูกหรืออย่างไร มันไม่ใช่ ประเทศไทยพลังงานไม่ขาดแคลน มีการจ้างงานและเศรษฐกิจที่ดีหรือ? ฝากให้คิด

ที่มาเนื้อหา น้องปอสาม ตอบวาทกรรมประดิษฐ์จะได้ไม่เข้าใจเรื่องพลังงาน

ม. 178 ฉบับรัฐธรรมนูญ 59 ทำให้ไทยเสียดินแดนจริงหรือ?

มีกลุ่มที่คัดค้านการเมือง รวมไปถึง โยงเอาพลังงานเข้าไปโจมตีเรื่อง ม. 178 ฉบับรัฐธรรมนูญ 59
ว่าทำให้ไทยเสียดินแดนนั้น จะทำให้ไทยเสียดินแดนจริงหรือไม่ เราลองมาอ่านกัน ว่าต่างจากเดิม ปี 50 อย่างไร ทำให้ไทยเสียดินแดนจริงหรือ?



มาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ 59 เนื้อหาก็คล้ายคลึงกับมาตรา 190 ในรัฐธรรมนูญปี 50 เป็นเรื่อง "การทำสนธิสัญญา" ซึ่งในมาตรา 190 เขียนเอาไว้ไม่รัดกุม รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงเขียนแก้ไขให้ครบถ้วนรัดกุมยิ่งขึ้น

โดย มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ปี 50 วรรคสองเขียนไว้ว่า
"หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่ง ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคง ทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศ อย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว"
คำว่า "งบประมาณของประเทศ" จะหมายถึงสนธิสัญญาอะไร? ถ้าเป็นการลงทุนโครงการใหญ่ๆ ที่ต้องใช้งบประมาณสูง สัญญาจ้างงานถือเป็นสนธิสัญญาด้วยหรือไม่? และไม่บัญญัติไว้ว่า ถ้าพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน จะทำอย่างไรกันต่อ.!! รัฐธรรมนูญใหม่ จึงกำหนดไว้ให้ชัดเจนว่า

"ในการนี้ รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ"

ในวรรคที่สามของมาตรา 190 เขียนว่า
"ก่อนการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามวรรคสอง คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้อง ชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้น ในการนี้ ให้คณะรัฐมนตรีเสนอ กรอบการเจรจาต่อรัฐสภา เพื่อขอความเห็นชอบด้วย"
วรรคนี้มีความคลุมเครือ และสุ่มเสี่ยง การกำหนดให้ต้องเปิดเผยข้อมูล และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงต่อสภาฯ โดยมิได้แยกประเภทของสนธิสัญญาให้ชัดเจน อาจหมายรวมถึงสนธิสัญญาทุกประเภท ซึ่งบางสนธิสัญญาอาจเป็นข้อตกลงที่เป็น "ความลับ" ระหว่างประเทศภาคีในสนธิสัญญา หากเปิดเผยออกไปอาจมีผลกระทบต่อผลได้ผลเสียกับประเทศ เช่น ข้อตกลงทางการค้าที่เป็นกรณีพิเศษ ประเทศคู่แข่งก็จะรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมด อีกทั้งการให้ประชาชนต้องมามีส่วนร่วม ก็เป็นการซ้ำซ้อนกับการตรวจสอบของสภา ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนอยู่แล้ว มาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญใหม่จึงตัดส่วนนี้ออกไป

ในวรรคที่สี่ของมาตรา 190 ก็ยังย้อนมาตรวจสอบกันอีก "หลังลงนาม" ในสนธิสัญญาแล้ว
"เมื่อลงนามในหนังสือสัญญาตามวรรคสองแล้ว ก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน คณะรัฐมนตรีต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น และในกรณีที่การปฏิบัติ ตามหนังสือสัญญาดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม"
ก่อนลงนามก็ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาฯก่อน หลังลงนามก็ต้องมาต้องมาเปิดเผยข้อมูลรายละเอียด ในสนธิสัญญาอีก "ก่อน" ที่จะให้มีผลผูกพัน มันซ้ำซ้อน ยอกย้อน และไม่เห็นประโยชน์อะไรที่ต้องให้มีขั้นตอนมากมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในวรรคที่ห้า เขียนว่า ให้มีกฎหมายว่าด้วยการทำสนธิสัญญา
"ให้มีกฎหมายว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาที่มีผลกระทบ ต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า หรือการลงทุน อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตาม หนังสือสัญญาดังกล่าวโดยคำนึงถึงความเป็นธรรมระหว่างผู้ที่ได้ประโยชน์กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากการปฏิบัติตามหนังสือสัญญานั้นและประชาชนทั่วไป"
จนป่านนี้ก็ยังไม่มีกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งสาระสำคัญของวรรคที่ห้า คือการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำสนธิสัญญามากกว่า ในรัฐธรรมนูญใหม่ จึงกำหนดให้มีกฎหมาย "กำหนดวิธีการ" ที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาตามวรรคสามด้วย ไม่ต้องไปออกกฎหมายว่าด้วยขั้นตอนและวิธีการจัดทำสนธิสัญญา เอาผลกระทบของประชาชนมาว่ากันให้ชัด

ส่วนวรรคท้ายก็เขียนไว้คล้ายกัน แต่เขียนชัดเจนว่า "เมื่อมีปัญหาว่าหนังสือสัญญาใดเป็นกรณีตามวรรคสองหรือวรรคสามหรือไม่ คณะรัฐมนตรีจะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ได้ ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ" โดยในมาตรา 190 ไม่ได้กำหนดเงื่อนเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จเมื่อใด แค่กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น ดังนี้
"ในกรณีที่มีปัญหาตามวรรคสอง ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยชี้ขาด โดยให้นำบทบัญญัติตามมาตรา ๑๕๔ (๑) มาใช้บังคับกับการเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยอนุโลม"
แค่มาตราเดียว ก็อธิบายกันยาวจนเบื่อที่จะอ่าน แต่ปล่อยผ่านไปไม่ได้ พวกจ้องบิดเบือนมันเยอะ เจตนารมณ์ดีๆ เอามาตัดทอนจนไปคนละความหมาย หาว่ากฎหมาย กกต.ปิดปากประชาชน เพื่อฮุบกินสมบัติของชาติ ใครมันจะอยู่ค้ำฟ้า รัฐบาลมันก็เปลี่ยนหน้ากันไป ผลประโยชน์อะไรที่มโนกัน

ถ้าแน่ใจว่าไม่พูดบิดเบือน ก็กล้าๆแสดงความเห็นเยี่ยงปัญญาชนสิครับ จะกลัว มาตรา 61 ไปทำไม ทำอะไรแบบพวก "ปัญญา(วัว)ชน" มันโชว์พลังความโง่ชัดๆ.!!!

ที่มา nobody06 ม. 178 ฉบับรัฐธรรมนูญ 59 ทำให้ไทยเสียดินแดนจริงหรือ?



"อธิปไตยพลังงาน" ....วาทกรรมไร้ความหมาย

ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา เราจะได้ยินคำว่า “อธิปไตยพลังงาน” โผล่ขึ้นมามากมายบ่อยครั้งตามสื่อต่างๆ ทั้งสื่อหลักและสื่อ Social Media (ลองพิมพ์คำนี้แล้วเข้าไปหาใน Google ดูสิครับ ท่านหาอ่านได้เป็นสิบๆ หน้าเลยครับ)


ที่มาภาพ: https://thaipublica.org/2016/07/banyong-pongpanich-72/
มีใครเคยฉุกคิดโดยใช้หลัก “กาลามสูตร” ของพระพุทธองค์มาพิจารณากันดูไหมครับ ว่าคำว่า “อธิปไตยพลังงาน” นี่หมายถึงอะไร มีความหมายความสำคัญจริงๆ แค่ไหน หรือเพียงแค่ฟังตามๆ กันมาแล้วก็พูดตามๆ กันไป เพียงเพราะมันเป็นคำที่ฟังดูดี ดูเท่ ดูดุเดือด รักชาติ รักสังคมดี
ผมขอฟันธงก่อนเลยว่า คำ “อธิปไตยพลังงาน” นี้ เป็นคำที่ไร้ความหมาย ไร้สาระ …เป็น “วาทกรรมประดิษฐ์” ที่มีผู้คิดสร้างขึ้น เพื่อชักจูงให้คนเข้าใจไปในทางที่ส่งเสริมแนวคิดทางสังคมนิยมของพวกตน เพื่อสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง “บรรษัทพลังงานแห่งชาติ” ที่มีพวกตนเข้าไปมีบทบาทบริหารควบคุม ทั้งๆ ที่แนวคิดนี้กำลังเสื่อมความนิยมลงทั่วโลก เพราะเป็นวิธีการที่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ล่อแหลมต่อการทุจริต และทำให้รัฐสุ่มเสี่ยงเกินไปโดยที่ไม่จำเป็น ซึ่งเมื่อถกเถียงกันโดยเหตุผลแล้วไม่สำเร็จ คนกลุ่มนี้ก็เลยไปใช้วิธีปลุกกระแสชาตินิยม กระแสรักชาติ รวมทั้งใช้กลยุทธ์ประชานิยม (ทำให้คนเชื่อว่าจะได้ใช้นำ้มันราคาถูก) มาจูงใจสังคม แล้วก็เลยคิดประดิษฐ์คำเท่ๆ อย่าง “อธิปไตยพลังงาน” ขึ้นมาเพื่อใช้นำปลุกระดมผู้คน

ทำไมผมถึงบังอาจสรุปอย่างนี้ …จะขออธิบายนะครับ

ถ้าไปเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็จะแปลความหมายคำว่า “อธิปไตย” ว่า “อำนาจสูงสุดของรัฐที่จะใช้บังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน” หรือในภาษาอังกฤษก็จะตรงกับคำว่า “Sovereignty” ซึ่งก็มีความหมายตรงกัน คือหมายถึงว่า รัฐใดที่เป็นอิสระย่อมมีอำนาจอธิปไตยเหนือขอบเขตของประเทศตน จะออกกฎหมาย จะบังคับใช้กฎหมายที่ตนมีอยู่ได้ จะใช้ระบอบใดปกครองก็เป็นสิทธิ

การใช้อำนาจอธิปไตยนั้น ย่อมทำได้ภายใต้กฎหมาย ภายใต้รัฏฐาธิปัตย์ของแต่ละประเทศ แต่ทั้งนี้ก็จะต้องคำนึงถึงพันธสัญญาที่ตนมีอยู่ ทั้งกับประเทศต่างๆ หรือกับเอกชนและประชาชน ทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งยังต้องคำนึงถึงวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในโลกนี้ด้วย

แต่เอาเข้าจริงก็มีการใช้อำนาจโดยละเมิดพันธะที่ว่าโดยประเทศต่างๆ อยู่เสมอๆ ซึ่งก็ยังสามารถทำได้และมีผลภายในเขตประเทศตน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ย่อมต้องยอมรับผลกระทบที่ตามมา (Consequences) ด้วย เช่น ประเทศอาจออกกฎหมายยึดกิจการบางอย่างของต่างชาติที่อยู่ในเขตแดนเป็นของรัฐ หรืออาจเบี้ยวไม่ยอมรับพันธสัญญาที่ทำไว้ก็ได้ แต่สิ่งที่ตามมาก็อาจทำให้ไม่มีใครมาค้าขายลงทุนด้วยอีก หรืออาจถูกปฏิบัติตอบเยี่ยงเดียวกัน (คือยึดของเราบ้าง) หรือถ้าหนักขึ้นก็อาจจะถูกแซงก์ชัน (Sanction) ซึ่งมีตั้งแต่ระดับอ่อนอย่างการตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าบางชนิด ไปจนถึงระดับแรง เช่น งดเว้นการค้าขายการลงทุนด้วยเลย หรือถ้าหนักที่สุดก็คือการประกาศสงครามเข้าต่อสู้รุกรานโดยกองทัพกันเลย (มีน้อยครั้งนะครับ และต้องเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ)

จะขอยกตัวอย่างใกล้ๆ ตัวนะครับ …อย่างการที่เราถูกกล่าวหาใน TIP Report ว่าไม่เอาจริงกับการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ หรือถูกให้ใบเหลืองจาก IUU เรื่องประมงผิดกฎหมาย อันอาจทำให้ถูกกีดกันการค้า หรืองดนำเข้าอาหารทะเลจากไทย ซึ่งโดย “อำนาจอธิปไตย” เราอาจจะเมินเฉย ด่ากลับ โดยไม่ทำอะไรก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องยอมรับผลที่อาจทำให้สินค้าไทยจะขายไม่ออก หรือทำให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลต้องพังพินาศไป ที่เราต้องนั่งมุ่งมั่นแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะเราไม่มี “อธิปไตยอาหารทะเล” หรอกนะครับ แต่เพราะเราไม่อยากเผชิญผลกระทบต่างหาก

หรืออีกสักตัวอย่างหนึ่ง การที่ประเทศไทยโดนฟ้องโดยเอกชนในศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศว่าละเมิดสัญญาคุ้มครองการค้าที่ทำกับเยอรมันในกรณีบริษัททางยกระดับดอนเมืองโทลเวย์ แล้วเราแพ้คดี โดนปรับกว่า 30 ล้านยูโร แล้วไม่ยอมจ่าย ทำให้รัฐบาลเยอรมันทำการยึดเครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระบรมฯ ที่เข้าไปในเขตประเทศเขาเมื่อปี 2554 จนต้องยอมเอาหนังสือค้ำประกันธนาคารไปแลกเครื่องบินคืนมา ซึ่งถ้าเราเลือกที่จะดื้อดึงใช้อำนาจอธิปไตยตอบโต้ เช่น ยึดทรัพย์รัฐบาลเยอรมัน หรือของเอกชนที่อยู่ในประเทศเราบ้างก็ย่อมทำได้ แต่ก็คงจะส่งผลลุกลามร้ายแรงไปกว่านี้ ซึ่งที่เรายอมไปก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่มี “อธิปไตยทางด่วน” ใดๆ ทั้งสิ้น

ขอกลับมาเรื่อง “อธิปไตยพลังงาน” นะครับ ที่ออกมาตะโกนก้องว่า “เราจะต้องเสียอธิปไตยพลังงาน” ถ้าไม่ทำตามที่พวกท่านเรียกร้อง คือ ถ้าไม่ยึดแหล่งพลังงานมาทำเอง ถ้าไม่ตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติขึ้นมาเป็นเจ้าของและบริหารควบคุม (แล้วตั้งพวกท่านเข้าไปบริหารบรรษัทอีกทีหนึ่ง) ถ้าไม่เปลี่ยนระบบจากที่เคยให้สัมปทานเอกชนไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต หรือว่าจ้างผลิต ก็จะถือว่ายกทรัพยากรให้เอกชน ให้ต่างชาติ เพราะว่าน้ำมันจะเป็นของเขา รัฐจะนั่งรอให้เขาเอาไปขายแล้วรอแบ่งเงินค่าภาคหลวงค่าภาษี ไม่ได้มีอำนาจที่จะขนเอาน้ำมันมาเข้าคลัง มาจัดการขายเองเอาเงินเอง (ทำอย่างกับว่ารัฐทำเป็น ทำเก่ง)

หรือกระทั่งบางคนถึงกับกล่าวหาว่า ที่เราใช้ระบบสัมปทานให้เอกชนขุดหาแหล่งพลังงาน โดยรัฐเก็บค่าภาคหลวงและภาษีต่างๆ เป็นตัวเงินในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมานั้น เป็นการที่เราไม่มีอธิปไตยทางพลังงานตลอดมา พอสัมปทานจะครบอายุจึงเป็นเวลาที่จะต้องเอา “อธิปไตยพลังงาน” ที่สูญเสียไปนานกลับคืนมาเสียที โดยการจัดตั้งบรรษัทที่ว่าและเปลี่ยนระบบมาเป็นแบบที่เขาเรียกร้อง

ผมขอบอกเลยว่า ไม่ว่าจะมีบรรษัทที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% ลงทุนเอง เสี่ยงเอง บริหารเอง หรือมีรัฐวิสาหกิจที่รัฐถือหุ้นแค่ครึ่งเดียว หรือจะให้เอกชนแข่งขันกันทำทั้ง 100% (เหมือนพวกประเทศพัฒนาแล้วเกือบทุกแห่ง) ไม่ว่าจะใช้ระบบสัมปทาน (Concession) ไม่ว่าจะใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต (Product Sharing) หรือจะว่าจ้างผลิต จะเป็นแบบไหนระบบใด ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “อธิปไตย” หรือ “อำนาจอธิปไตย” ใดๆ ทั้งสิ้น

ประเทศไทย รัฐบาลไทย ศาลไทย รัฐสภาไทย จะยังคงมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยตลอดไป เรายังสามารถออกกฎหมายบังคับใช้กับทุกๆ คนที่ประกอบกิจการในเขตดินแดนไทยได้ทุกอย่าง จะออกกฎหมายยึดคืนในรูปแบบต่างๆ ก็ยังได้เลย (เหมือนอย่างเวเนซุเอลา ประเทศที่เคยเป็นแม่แบบของเหล่านักทวงคืนเคยทำไงครับ แต่เดี๋ยวนี้เวเนฯ เละตุ้มเป๊ะไปแล้ว พวกท่านก็เลยแกล้งลืมไม่พูดถึงอีก) แต่อย่างที่ว่าแหละครับ …ทำไปก็ต้องรับผลกระทบที่ตามมาด้วย

เรื่องของทรัพยากรธรรมชาตินั้น ทั้งตามกฎหมายไทย กฎหมายสากล ส่วนใหญ่นั้นก็เหมือนๆ กัน คือ เป็นสมบัติของรัฐของส่วนรวม แม้อยู่ใต้ที่ดินเรายังไม่ใช่ของเราเลย แต่การที่จัดสรรแบ่งให้เอกชนทำ จะเป็นชาวไทยหรือต่างชาตินั้นก็เพราะเพื่อให้มีประสิทธิภาพ มีเทคโนโลยี รวมทั้งประหยัดทรัพยากรภาครัฐไปทำอย่างอื่นที่จำเป็นกว่า และที่สำคัญ รัฐไม่ต้องรับความเสี่ยงในกิจกรรมที่รู้ชัดๆ ว่ามีความเสี่ยงสูง จะใช้ระบบใดก็ยังถือว่าทรัพยากรนั้นเป็นของรัฐ …อย่างนำ้มันนั้น ถ้ามีเหตุจำเป็น เช่น ยามขาดแคลนจัด หรือยามสงคราม รัฐสามารถบังคับให้เอกชนต้องตั้งสำรองเพิ่มหรือแม้จะให้ส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดให้รัฐเลยก็ยังทำได้ (ถ้ามีการชดเชยตามสมควรก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติยอมรับได้ด้วยซ้ำ) ทำอะไรอย่างไรก็ไม่เสียอธิปไตยใดๆ ทั้งสิ้น

จะว่าไป …การที่ศาลปกครองสูงสุดออกมาพิพากษาให้ ปตท. ต้องคืนท่อก๊าซบนที่ดินที่ได้มาจากการใช้อำนาจรัฐเวนคืนเมื่อปี 2549 นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของศาลที่ให้ยึดสมบัติที่ทั้งรัฐบาลผู้ขายหุ้นและนักลงทุนหลายแสนคนผู้ซื้อหุ้นต่างเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นสมบัติของ ปตท. ที่ได้แบ่งขายให้ผู้ถือหุ้นทุกคนร่วมเป็นเจ้าของไปแล้ว การที่ศาลอ้างว่าเป็นไปตามมาตรา 24 ของ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ 2542 ผมอ่าน ม.24 หลายสิบรอบก็ยังไม่สามารถเห็นด้วยกับศาลเลย …แต่เอาเถอะครับ จะถูกจะผิดอย่างไร ถึงจะไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากศาลท่านเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในเรื่องนี้ เราก็ต้องเคารพและทำตาม และก็พยายามลดผลกระทบโดยการทำให้นักลงทุนเข้าใจ (การที่ผู้บริหาร ปตท. ออกมาประกาศว่าจะเคารพการตัดสินทุกอย่างของศาลก็เป็นเรื่องถูกต้องและสมควรแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่เห็นน่าตื่นเต้นใดๆ เลย ไม่งั้นท่านก็ต้องย้ายกิจการทั้งหมดไปอยู่ประเทศอื่น …แต่น่าสังเกตว่ากลุ่มผู้ฟ้องกลับไม่ยักเคารพคำตัดสินของศาลแฮะ ได้คืบจะเอาศอกเอาวา ไม่ยอมเลิก จะเอาให้ประเทศพังจนสะใจให้ได้)

ถึงตอนนี้ …ผมก็ขอเรียกร้องว่า จะถกเถียงว่าจะทำอะไร อย่างไร ให้ใครทำ จะตั้งบรรษัทหรือไม่ จะใช้ระบบใด ก็ขอให้ถกกันโดยเหตุโดยผล ยกข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบแต่ละระบบมาถกกัน ยกประสบการณ์ของนานาประเทศมาพิจารณา เลิกใช้วาทกรรมประดิษฐ์ไร้ความหมายอย่างคำว่า “อธิปไตยพลังงาน” มาปลุกระดมผู้คนเสียทีเถิดครับ …อย่าดูถูกประชาชนนักเลยครับ

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในเฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich วันที่ 19 กรกฎาคม 2559 "อธิปไตยพลังงาน" ....วาทกรรมไร้ความหมาย (19 กรกฎาคม 2559)


อธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงาน(2)

ในโพสต์ที่แล้วผมได้วิเคราะห์ถึงคำแถลงคัดค้านของ คปพ.ที่มีต่อร่างแก้ไขพรบ.ปิโตรเลียมฯของกระทรวงพลังงานว่ามีเนื้อหาเน้นหนักอยู่ในสองประเด็นหลัก คือ เรื่องสิทธิในการบริหารจัดการปิโตรเลียมที่ค้นพบและผลิตได้ในประเทศ และเรื่องการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ



เรามาลงในรายละเอียดกันสักหน่อยว่าการได้สิทธิ์ไนการบริหารจัดการปิโตรเลียมเองนั้นจะทำให้เรามีอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานมากขึ้นหรืออย่างไร

ถ้าพรบ.ปิโตรเลียมบัญญัติไว้อย่างที่คปพ,ต้องการ คือปิดทางเลือกที่รัฐจะมอบให้ผู้ประกอบการสามารถนำเอาปิโตรเลียมที่ค้นพบและผลิตได้ไปขายและแบ่งผลประโยชน์ให้แก่รัฐตามสัญญาในรูปของตัวเงิน รัฐก็จะต้องรับส่วนแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์เท่านั้น (ซึ่งร่างพรบ.ที่กระทรวงเสนอ รัฐจะรับส่วนแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ก็ได้)

เมื่อรัฐรับมาเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้รายได้สูงสุดรัฐก็ต้องนำเอาผลิตภัณฑ์นั้นไปขายในราคาตลาดเพื่อให้ได้เป็นเงินมาเป็นรายได้แผ่นดิน หรือจะแบ่งส่วนหนึ่งเป็นกองทุนเอาไว้อุดหนุนราคาน้ำมัน หรือเอาไว้ใช้จ่ายในโครงการสวัสดิการสังคมต่างๆอย่างที่คปพ.ตั้งเป้าหมายเอาไว้ (จริงๆแล้วมันก็คือเงินก้อนดียวกันกับรายได้จากค่าภาคหลวงและภาษีปิโตรเลียมในปัจจุบันนั่นแหละ เพียงแต่ปัจจุบันเขาเอาเข้าหลวงทั้งหมด แต่ตามพรบ.ปิโตรเลียมของคปพ.จะแบ่งเอาไปตั้งกองทุนเพื่อบริหารเองแบบสสส.)

ถามว่ารัฐจะเอาปิโตรเลียมที่เป็นน้ำมันหรือก๊าซไปกลั่นเองหรือแยกก๊าซเองแล้วนำออกขายให้ประชาชนในราคาถูกๆได้หรือไม่ คำตอบคือทำได้ครับ แต่จะมีความยุ่งยากในการบริหารจัดการเป็นอย่างมาก

ข้อสำคัญปริมาณปิโตรเลียมที่รัฐได้มาก็ไม่เพียงพอที่จะใช้บริโภคภายในประเทศ ต้องนำเข้าอีกมากทั้งก๊าซและน้ำมัน ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงไม่มีใครทำกัน แม้แต่ประเทศที่ร่ำรวยจากการส่งออกน้ำมันอย่างในตะวันออกกลาง หรือมาเลเซีย เขาก็เลือกที่จะเอาปิโตรเลียมที่ได้มาไปขายในราคาตลาด แล้วเอาเงินรายได้จากการขายปิโตรเลียมมาอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศ หรือไม่เก็บภาษีจากน้ำมัน จึงทำให้ประเทศเหล่านี้จำหน่ายน้ำมันให้ประชาชนได้ในราคาถูก อย่างที่มีผู้ชอบนำมาอ้างอิงกัน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะรับมาเป็นผลิตภัณฑ์แล้วเอามาบริหารจัดการเอง หรือมอบหมายให้ผู้ประกอบการคู่สัญญาไปบริหารจัดการแทน เป้าหมายสุดท้ายก็เหมือนกันคือ ต้องการให้ได้ตัวเงินที่เป็นรายได้ของประเทศสูงที่สุดด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด รั่วไหลน้อยที่สุด โปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งทั้งหมดนี้คือเรื่องของประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งสิ้น (Management Efficiency) ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับอธิปไตยหรืออิสรภาพทางพลังงานแม้แต่น้อย เพราะรัฐยังมีอำนาจเต็มที่ที่จะสั่งการหรือให้ความเห็นชอบและตรวจสอบต่อการดำเนินการใดๆของผู้ประกอบการคู่สัญญา และสั่งระงับหรือปฏิเสธการดำเนินการใดๆที่ทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ได้

ซึ่งในหลายๆประเทศที่ใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตก็ใช้หลักการนี้คือไม่ได้รับส่วนแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์แต่อย่างใด แต่ได้มอบหมายให้ผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ และมีความเป็นมืออาชีพมากกว่า เป็นผู้บริหารจัดการแทน อย่างเช่นประเทศเมียนมาร์ที่มีผู้ชอบยกตัวอย่างอยู่เสมอๆว่าได้เปลี่ยนจากระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตหมดแล้ว ก็ยังคงให้บริษัทปตท.สผ.ที่ไปลงทุนสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติในเมียนมาร์เป็นผู้บริหารจัดการปิโตรเลียมที่ผลิตได้ โดยรัฐคอยรับส่วนแบ่งรายได้เป็นเงินเหมือนเดิม

อย่างนี้จะบอกว่ารัฐบาลเมียนมาร์สูญเสียอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานให้ไทยใช่หรือไม่
นอกจากวาทกรรมเรื่องนี้ ล่าสุดกลุ่มคปพ.ยังได้มีความพยายามจะลากเอาการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาพัวพันกับเรื่องร่างแก้ไข

พรบ.ปิโตรเลียมในครั้งนี้ โดยพยายามโยงว่าการแก้ไขร่าง
พรบ.ปิโตรเลียมครั้งนี้มีเบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนจากต่างประเทศ เหมือนกับการร่างพรบ.ปิโตรเลียมในปี 2514 ที่มี CIA อยู่เบื้องหลัง จึงเป็นการเขียนโดยฝรั่ง เพื่อฝรั่ง ฝรั่งร่าง ฝรั่งรวย

ฟังแล้วช่างเป็นวาทกรรมที่ดูถูกคนไทย เห็นคนไทยรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาเสียนี่กระไร !!!
มนูญ ศิริวรรณ
6 ก.ค. 59

ที่มา มนูญ ศิริวรรณ อธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงาน(2)

อธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงาน(1)

กลุ่มเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้ออกมาแถลงคัดค้าน(อีกที) ต่อร่างแก้ไขพรบ.ปิโตรเลียมสองฉบับของกระทรวงพลังงานที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคระรัฐมนตรีและที่ประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวาระที่หนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการเปิดให้มีการแปรญัตติของคณะกรรมาธิการวิสามัญก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่สองต่อไป



เนื้อหาของการคัดค้านที่สำคัญก็คือ กลุ่มคปพ.เห็นว่าแม้ร่างแก้ไขพรบ.ดังกล่าวจะได้เพิ่มระบบแบ่งปันผลผลิต (PSC) และระบบจ้างผลิต (Service Contract-SC) ไว้ในร่างแก้ไขพรบ.แล้วก็ตาม แต่กฏหมายก็ยังเปิดช่องให้สิทธิในการบริหารและขายปิโตรเลียมยังคงตกอยู่ในมือเอกชนเช่นเดิม โดยรัฐทำหน้าที่รอรับผลประโยชน์จากรายได้ที่เอกชนขายปิโตรเลียมได้ตามส่วนแบ่งที่ตกลงกัน

ซึ่งตรงนี้ทางฝ่ายคปพ.เห็นว่าร่างพรบ,ฉบับนี้ยังไม่สามารถนำอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานกลับคืนมาให้ประเทศชาติอย่างแท้จริง

ในความคิดของกลุ่มคปพ. เพื่อให้เรามีอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานดังกล่าวอย่างแท้จริง รัฐจะต้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในการบริหารและขายปิโตรเลียมเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบจ้างผลิตนั้นรัฐจะต้องดำเนินการเองทั้งหมด100% โดยเอกชนจะรับแต่เพียงค่าจ้างผลิตเท่านั้น

เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว คปพ.จึงเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติขึ้นเพื่อบริหารจัดการในเรื่องนี้ ดังนั้นการที่ร่างแก้ไขพรบ.ปิโตรเลียมฯไม่บัญญัติเรื่องการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติขึ้นตามที่คปพ.เรียกร้อง จึงเท่ากับเป็นการยกอธิปไตยในการขายปิโตรเลียมที่ผลิตได้ให้กับเอกชน

จะเห็นได้ว่าเนื้อหาสำคัญๆที่กลุ่มคปพ.คัดค้านร่างแก้ไข พรบ.ปิโตรเลียมของกระทรวงพลังงานที่กำลังพิจารณากันอยู่ในสภาฯมีอยู่เพียงสองเรื่องใหญ่ๆเท่านั้น คือ เรื่องการบริหารจัดการปิโตรเลียมที่รัฐต้องเป็นคนบริหารจัดการเองโดยถือเป็นเรื่องอธิปไตยทางพลังงาน และเรื่องการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติเพื่อรองรับการบริหารจัดการนั้น

สำหรับเรื่องแรก ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ารัฐไม่ได้บริหารจัดการปิโตรเลียมที่ได้มาด้วยตนเอง จะถือว่าเราไม่มีอธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงานจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่วาทกรรมปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยมให้คุกรุ่นขึ้นมาเท่านั้น

การบริหารจัดการปิโตรเลียมที่ผลิตได้ในประเทศนั้นมีหลายรูปแบบและหลายวิธี ไม่จำเป็นว่ารัฐจะต้องเป็นผู้บริหารจัดการเองเสมอไป แต่หลักการสำคัญคือต้องเน้นหลักความเป็นมืออาชีพ มีประสิทธิภาพ ได้ประโยชน์สูงสุด และโปร่งใสตรวจสอบได้

ซึ่งถ้าเอาเงื่อนไขเหล่านี้เข้าจับแล้วลองพิจารณาดู ก็จะเห็นว่าการให้รัฐบริหารจัดการเองทั้งหมด หรือ ให้เอกชนบริหารจัดการโดยมีรัฐเข้าร่วมตรวจสอบ แบบไหนจะมีประสิทธิภาพดีกว่ากัน

ส่วนในเรื่องบรรษัทพลังงานแห่งชาตินั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดตั้งครับ ว่าจะจัดตั้งขึ้นเป็นแบบใด
ถ้าจัดตั้งขึ้นมาเป็นองค์กรที่รับมอบทรัพย์สินในแปลงสัมปทานที่จะหมดอายุ แล้วเข้าร่วมทุนกับผู้ประกอบการรายใหม่หรือรายเดิมก็แล้วแต่ หรือจะเข้าร่วมประมูลในแปลงปิโตรลียมที่จะเปิดสำรวจใหม่ก็คงไม่มีปัญหา

แต่ถ้าจะตั้งเป็นบรรษัทพลังงานแห่งชาติตามรูปแบบที่คปพ.เสนอให้กินรวบเบ็ดเสร็จเป็นทั้ง regulator และ operator แถมยังมีอำนาจสารพัด ผมคงรับไม่ได้

กลัวจะเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษตัวใหม่ครับ !!!

มนูญ ศิริวรรณ
30 มิ.ย. 59

ที่มา มนูญ ศิริวรรณ อธิปไตยและอิสรภาพทางพลังงาน(1)