หากท่านดูข่าว ไม่ว่าจะเห็นราคาน้ำมันดิบ WTI ที่กี่เหรียญ อันนี้น่าจะตกใจกันมากในเมื่อคืนที่ผ่านมาเพราะราคาน้ำมันดิบของ WTI แทบจะแจกฟรี แต่เหตุผลหลักคือถังน้ำมันดิบของ WTI ใน Texas เป็นเรื่องของสัญญา futures เดือนพฤษภาคมที่จะหมดอายุลง ผู้ที่ถือสัญญาอยู่จะต้องส่งมอบน้ำมันที่สหรัฐอเมริกา แต่เนื่องจากสถานที่จัดเก็บเต็มในประเทศ จึงต้องขายสัญญาออกไป แม้ต้องขายติดลบก็ตาม
🛢🛢 เหตุการณ์นี้ยังไม่กระทบกับราคาน้ำมันส่งมอบในส่วนอื่นของโลก (เช่น Brent Dubai) เนื่องจาก storage ที่อื่นยังไม่เต็ม และ WTI มีข้อจำกัดในการส่งออก ทำให้ WTI ไม่สะท้อนราคาน้ำมันตลาดโลก
คราวนี้มาดูประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไทยเราบ้าง
🛢🛢 ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ไม่ว่าจะลงไปเท่าไหร่ ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันในประเทศเราเลย หรือแม้แต่กระทั่งเกี่ยวข้องกับผลประกอบการของบริษัทน้ำมันในบ้านเราเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจหรือคิดว่าตลาดน้ำมันในบ้านเราจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะบ้านเราใช้ราคาอ้างอิงน้ำมันสำเร็จรูป ณ ตลาดสิงคโปร์ (มีอธิบายในด้านล่าง) เป็นหลัก ซึ่งตลาดนี้สะท้อนความต้องการในภูมิภาค
ในขณะที่ตลาดส่งมอบน้ำมันทั่วโลกอื่นๆ ที่ผ่านมา Dubai ปรับลดลงเล็กน้อยเท่านั้นไม่ถึง 1 เหรียญต่อบาร์เรล
⛽⛽ สำหรับผู้ใช้น้ำมันเติมรถกันนั้น ไม่ต้องดีใจว่าจะได้เข้าไปเติมน้ำมันแบบราคาลดลงแบบเยอะแยะขนาดนั้น เพราะกว่าน้ำมันดิบจะมาเป็นน้ำมันรถยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนแถมยังมีนโยบายของภาครัฐ อย่างภาษี กับ กองทุนต่างๆ บวกเข้าไปอีก
อันนี้เคยนำเสนอไปแล้วลองอ่านที่เพจอื่นนำเสนอดูบ้าง เรื่องทำไมต้องอ้างอิงน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ และ ราคาที่ตลาดนี้เหมาะสมหรือไม่ ที่มา Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP https://bit.ly/3anaPUT
ที่มาภาพ http://energythaiinfo.blogspot.com/2012/08/blog-post.html
สาเหตุหลักคือ ตลาดซื้อขายกลางในสิงคโปร์ เป็นจุดที่เรือน้ำมันจากทุกประเทศในภูมิภาคในเอเชียวิ่งเข้ามาบรรจบกันเพื่อทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายน้ำมันในแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบหรือน้ำมันสำเร็จรูปอย่างเบนซินและดีเซล หากใครมีน้ำมันเกินก็นำมาขายได้ที่สิงคโปร์นี้ ใครขาดน้ำมันอะไรก็มารับซื้อจากตลาดสิงคโปร์นี้ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นตลาดราคากลางของเอเชียที่มีความน่าเชื่อถือสูงเพราะมีผู้เล่นจากทั่วทุกมุมของเอเชียนำของเข้ามาซื้อขายกันตลอดเวลา
ถ้าเราจะไม่ทำการกลั่นน้ำมันดิบกันในประเทศเอง - หากเราสมมุติว่าเราไม่มีโรงกลั่น และต้องนำเข้าน้ำมันเบนซินและดีเซลจากต่างชาติมาเติมใส่ปั๊มในประเทศเราให้ได้ใช้กัน ตลาดสิงค์โปร์ก็คือต้นทุนราคาที่เราต้องนำเข้ามาอยู่ดีและนั้นก็จะเป็นต้นทุนของปั๊มเรา ทำให้ราคาก็จะไม่ต่างอะไรมากกับราคาที่โรงกลั่นเราขายอยู่ดี จริงๆแล้วราคาของโรงกลั่นเรายังถูกกว่าด้วยซ้ำเพราะการนำเข้าน้ำมันดิบนั้นถูกกว่าน้ำมันสำเร็จรูปหลายเท่า เพราะสามารถขนถ่ายได้ในปริมาณมากและไม่ต้องไปเสียค่าจ้างจากการกลั่นให้ประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นราคาขายในประเทศที่อิงกับตลาดสิงค์โปร์นี้จึงเป็นราคากลางที่เหมาะสม
สิงคโปร์ก็เป็นเมืองท่าประตูทางผ่านจากจะวันออกกลางสู่เอเชียที่เป็นหลักที่สุด จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญนี้ ทำให้เขาสามารถตั้งตัวขึ้นมาเป็นจุดซื้อขายน้ำมันหลักๆได้ - เพราะอย่างที่เรียนว่าไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทย แต่หลายๆประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ไม่สามารถผลิตน้ำมันดิบได้เองนั้นก็กำลังต่างก็ต้องพึ่งพาน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง และทุกๆเส้นทางของแต่ละประเทศนั้นต้องมีสิงคโปร์อยู่ระหว่างกลาง
ราคา ณ ตลาดสิงคโปร์ ไม่ได้กำหนดโดยรัฐบาลสิงคโปร์ แต่กำหนดโดย ทาง Platts นั้นจึงต้องหาวิธีใหม่ที่จะทำอย่างไรให้ผู้ซื้อผู้ขายทั้งหมดในเอเชียมากำหนดราคาซื้อขายรายวันกันได้โดยให้มีสภาพคล่องสูงที่สุด โดย Platts ใช้วิธีการว่าหากใครก็ตามที่ต้องการเข้ามา เสนอซื้อ (Bid) หรือ เสนอขาย (Offer) ในช่วง Singapore Window นั้น จะต้องรับส่งมอบน้ำมันตามเกรดนั้นจริงๆตามที่ Platts กำหนด จะไม่มีใครสามารถเข้ามาซื้อขายราคาต่างๆเพียงเล่นๆได้ ต้องประสงค์ที่จะรับน้ำมันไปในระดับราคานั้นจริงๆ การทำแบบนี้นั้นทำให้ยากที่ราคาจะโดนปั่นได้ เพราะบริษัทน้ำมันต่างๆ ที่เข้ามาร่วมซื้อขายนั้นต้องพร้อมที่จะรับน้ำมันไปในราคาที่เสนอจริงๆ
ที่มา น้ำมันดิบ WTI จะต่ำลงขนาดไหน ก็ไม่ได้เกี่ยวกับ ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยเรา
Showing posts with label Simex. Show all posts
Showing posts with label Simex. Show all posts
รู้แล้วจะอึ้ง สาเหตุที่มาเลเซียน้ำมันถูกกว่าไทย
รู้แล้วจะอึ้ง สาเหตุที่น้ำมันมาเลเซีย ถูกกว่าไทย ภาพนี้เป็นโครงสร้างราคาน้ำมัน ในวันที่ 9 ตุลาคม 2558 ระหว่าง เบนซิน 95 ของประเทศไทย กับ เบนซิน (RON) 95 ของประเทศมาเลเซีย ค่าเงิน 1 ริงกิต = 8.58 บาท
นโยบายการยกเลิกอุดหนุนราคาพลังงานที่มาเลเซียพยายามทำมาตั้งแต่ต้นปีตอนนี้น่าจะมีผลแล้วกับราคาน้ำมันในเดือนตุลาคม แต่ยังไงก็ตามยังคงไม่มีการเก็บภาษีในสินค้าประเภทเชื้อเพลิงทำให้ราคาต่างกับประเทศอื่น (ยกเว้น Ron 97 เก็บ 6% แต่ยังถือว่าต่ำสุดในอาเซียน)
ภาพนี้เป็นโครงสร้างราคาน้ำมัน ในวันที่ 9 ตุลาคม 2558 ระหว่าง เบนซิน 95 ของประเทศไทย กับ เบนซิน (RON) 95 ของประเทศมาเลเซีย ค่าเงิน 1 ริงกิต = 8.58 บาท
ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นฯ + ค่าการตลาด ของทั้งสองประเทศใกล้เคียงกันมาก โดยราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น + ค่าการตลาดของ เบนซิน 95 ตกลิตรละ 18.99 บาท (ยูโร4) ส่วนของ RON 95 มาเลเซีย ลิตรละ 17.60 บาท (ยูโร2)
ส่วนราคาขายปลีกนั้น เบนซิน 95 แพงกว่า อยู่ที่ลิตรละ 33.76 บาท เพราะรัฐจัดเก็บภาษีฯและกองทุนฯ เพิ่มเติมอีกลิตรละ 14.77 บาท ขณะที่ RON 95 มาเลเซีย ขายที่ราคาเดียวกับราคาหน้าโรงกลั่นฯ + ค่าการตลาดที่ลิตรละ 17.60 บาท (RM 2.05) เพราะรัฐไม่เก็บภาษีเลย ซึ่งก่อนหน้านั้นรัฐเคยเอางบประมาณไปอุดหนุนหรือช่วยจ่ายค่าน้ำมันบางส่วนให้อีกด้วย แต่ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว
ส่วนเรื่องมาตรฐานน้ำมัน Euro ก็สำคัญเนื่องจาก ไทยใช้ Euro4 เพราะ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเราแย่กว่าประเทศอื่น รวมไปถึงอีกปัจจัยคืออุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ทำให้แปรผันในส่วนการส่งออกรถยนต์ออกนอกประเทศ เนื่องจากหลายประเทศให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นสาเหตุที่ราคาน้ำมันขายปลีกทั้งสองประเทศแตกต่างกัน แต่ถ้าพิจารณาที่ตัวเนื้อน้ำมัน จะเห็นได้ว่าราคาไม่ได้แตกต่างกันมาก ที่ราคาขายปลีกต่างกันเพราะอัตราการจัดเก็บภาษีฯและกองทุนฯ
ปล. สาเหตุที่ไม่ได้แยกค่าการตลาดออกมาเพราะไม่มีข้อมูลค่าการตลาดของทางมาเลเซีย
เครดิตข้อมูล:
- สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (www.eppo.go.th)
- paulton.org
- Petron
- Financial Times
- GST Malaysia
- Malaysia abolishes fuel subsidies
http://www.ft.com/…/240062/malaysia-abolishes-fuel-subsidies
- Ron95, Diesel and LPG to be exempted from GST , Budget 2015 GST Update
http://www.gstmalaysia.co/ron95-diesel-and-lpg-to-be-exe…/…/
- Harga Petrol RON95 RON97 Diesel Terkini Oktober 2015
http://www.hasrulhassan.com/…/harga-petrol-ron95-ron97-terk…
- Harga Minyak Petrol RON95 RON97 Diesel Terkini: Oktober 2015 ราคาเดือนตุลาคม 58 พร้อมเนื้อหาการเก็บภาษี GST ใน RON 97 6%
http://www.malaysiatercinta.com/…/harga-petrol-dan-diesel-t…
- การนำเข้าน้ำมันของมาเลเซียจากสิงคโปร์ และมาตรฐานน้ำมันของมาเลเซีย
http://www.platts.com/…/malaysia-to-import-50-ppm-97-ron-ga…
GST ภาษีระบบใหม่ "มาเลย์" ชดเชยรายได้ น้ำมัน-ส่งออก
http://on.fb.me/1RDXVDn
info Graphic การจัดเก็บภาษี GST ของมาเลเซีย
http://on.fb.me/1PckMHP
ที่มา โครงสร้างตัวอย่างจากคุณสิริวัฒน์ วิฑูรกิจวานิช
http://on.fb.me/1WYSIJs
ที่มาภาพ น้องปอสาม
นโยบายการยกเลิกอุดหนุนราคาพลังงานที่มาเลเซียพยายามทำมาตั้งแต่ต้นปีตอนนี้น่าจะมีผลแล้วกับราคาน้ำมันในเดือนตุลาคม แต่ยังไงก็ตามยังคงไม่มีการเก็บภาษีในสินค้าประเภทเชื้อเพลิงทำให้ราคาต่างกับประเทศอื่น (ยกเว้น Ron 97 เก็บ 6% แต่ยังถือว่าต่ำสุดในอาเซียน)
ภาพนี้เป็นโครงสร้างราคาน้ำมัน ในวันที่ 9 ตุลาคม 2558 ระหว่าง เบนซิน 95 ของประเทศไทย กับ เบนซิน (RON) 95 ของประเทศมาเลเซีย ค่าเงิน 1 ริงกิต = 8.58 บาท
ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นฯ + ค่าการตลาด ของทั้งสองประเทศใกล้เคียงกันมาก โดยราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น + ค่าการตลาดของ เบนซิน 95 ตกลิตรละ 18.99 บาท (ยูโร4) ส่วนของ RON 95 มาเลเซีย ลิตรละ 17.60 บาท (ยูโร2)
สาเหตุที่เบนซิน 95 มีราคาที่สูงกว่าเนื่องจากคุณภาพน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 และผลของอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ราคาหน้าโรงกลั่นฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 ในไทย ลิตรละ 16.10 บาท รวมถึงคุณภาพน้ำมันของไทย (ยูโร 4) สูงกว่ามาเลเซีย (ยูโร 2) รวมไปถึงระยะทางการขนส่งน้ำมันจากสิงคโปร์มาไทย กับ สิงคโปร์ไปมาเลเซีย (MOPS is an acronym that stands for the Mean of Platts Singapore, which is the average of a set of Singapore-based oil product price assessments published by Platts สาเหตุที่ใช้ราคาที่สิงคโปร์เนื่องจากเป็นตลาดค้าน้ำมันใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียเราที่ประกาศโดย Platts)
ส่วนราคาขายปลีกนั้น เบนซิน 95 แพงกว่า อยู่ที่ลิตรละ 33.76 บาท เพราะรัฐจัดเก็บภาษีฯและกองทุนฯ เพิ่มเติมอีกลิตรละ 14.77 บาท ขณะที่ RON 95 มาเลเซีย ขายที่ราคาเดียวกับราคาหน้าโรงกลั่นฯ + ค่าการตลาดที่ลิตรละ 17.60 บาท (RM 2.05) เพราะรัฐไม่เก็บภาษีเลย ซึ่งก่อนหน้านั้นรัฐเคยเอางบประมาณไปอุดหนุนหรือช่วยจ่ายค่าน้ำมันบางส่วนให้อีกด้วย แต่ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว
ส่วนเรื่องมาตรฐานน้ำมัน Euro ก็สำคัญเนื่องจาก ไทยใช้ Euro4 เพราะ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเราแย่กว่าประเทศอื่น รวมไปถึงอีกปัจจัยคืออุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ทำให้แปรผันในส่วนการส่งออกรถยนต์ออกนอกประเทศ เนื่องจากหลายประเทศให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นสาเหตุที่ราคาน้ำมันขายปลีกทั้งสองประเทศแตกต่างกัน แต่ถ้าพิจารณาที่ตัวเนื้อน้ำมัน จะเห็นได้ว่าราคาไม่ได้แตกต่างกันมาก ที่ราคาขายปลีกต่างกันเพราะอัตราการจัดเก็บภาษีฯและกองทุนฯ
ปล. สาเหตุที่ไม่ได้แยกค่าการตลาดออกมาเพราะไม่มีข้อมูลค่าการตลาดของทางมาเลเซีย
เครดิตข้อมูล:
- สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (www.eppo.go.th)
- paulton.org
- Petron
- Financial Times
- GST Malaysia
- Malaysia abolishes fuel subsidies
http://www.ft.com/…/240062/malaysia-abolishes-fuel-subsidies
- Ron95, Diesel and LPG to be exempted from GST , Budget 2015 GST Update
http://www.gstmalaysia.co/ron95-diesel-and-lpg-to-be-exe…/…/
- Harga Petrol RON95 RON97 Diesel Terkini Oktober 2015
http://www.hasrulhassan.com/…/harga-petrol-ron95-ron97-terk…
- Harga Minyak Petrol RON95 RON97 Diesel Terkini: Oktober 2015 ราคาเดือนตุลาคม 58 พร้อมเนื้อหาการเก็บภาษี GST ใน RON 97 6%
http://www.malaysiatercinta.com/…/harga-petrol-dan-diesel-t…
- การนำเข้าน้ำมันของมาเลเซียจากสิงคโปร์ และมาตรฐานน้ำมันของมาเลเซีย
http://www.platts.com/…/malaysia-to-import-50-ppm-97-ron-ga…
GST ภาษีระบบใหม่ "มาเลย์" ชดเชยรายได้ น้ำมัน-ส่งออก
http://on.fb.me/1RDXVDn
info Graphic การจัดเก็บภาษี GST ของมาเลเซีย
http://on.fb.me/1PckMHP
ที่มา โครงสร้างตัวอย่างจากคุณสิริวัฒน์ วิฑูรกิจวานิช
http://on.fb.me/1WYSIJs
ต้นทุนขุดเจาะน้ำมัน 1 บาท โคตรมั่ว!!
เป็นการมโนที่โคตรโง่เง่าที่สุดของคนทำข้อมูลนี้ ในการบอกว่าต้นทุนขุดเจาะ 1 บาท แล้วแถมมาเทียบกับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่มีทั้งภาษีต่างๆ อีกมากมาย
ต้นทุนการผลิตปิโตรเลียมที่แท้จริง
ผู้ที่จัดทำรูป ได้เข้าใจผิดและนำต้นทุนส่วนกระบวนการผลิต (Production Cost หรือ Lifting Cost) มาเพียงแค่อันเดียว ซึ่งความเป็นจริงแล้วต้นทุนการผลิตทั้งหมดจะต้องรวม ต้นทุนที่เกิดจากการสำรวจและค้นหา ต้นทุนการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม ต้นทุนการบริหารจัดการ รวมถึงต้นทุนของดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกครับ รูปดังต่อไปนี้เป็นการแสดงยอดขายและต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในส่วนของสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของบริษัท Hess Corp ปี 2011
รูปแสดงยอดขายและค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งหมดของบริษัท Hess Corp ในปี 2011
1. Production expenses including related taxes (ค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต หรือ Lifting cost)
ต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้คือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนกระบวนการผลิตเท่านั้น จากคำนิยามที่ทาง HESS ให้ไว้คือ เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนกระบวนการผลิต การซ่อมบำรุงรักษาหลุมผลิต, อุปกรณ์การผลิต รวมค่าขนส่งและส่วนที่เป็นภาษีเพิ่มเติม (เป็นค่าภาคหลวง ผลตอบแทนพิเศษ ส่วนแบ่งกำไร) บางบริษัทจะแยกส่วนที่เป็นค่าภาคหลวงและค่าใช้จ่ายอื่นที่ต้องให้รัฐอีกต่างหาก ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ทาง HESS Corp แยกเป็นส่วนของทวีปเอเชียเท่ากับ $10.62/BOE
2. Exploration expenses, including dry holes and lease impairment (ค่าใช้จ่ายในการสำรวจ)
ต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้คือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการสำรวจและขุดเจาะหลุมสำรวจปิโตรเลียมทั้งหมด รวมถึงหลุมที่ไม่พบปิโตรเลียมด้วย ต้นทุนนี้คือต้นทุนส่วนนึงของ Finding Cost
3. General, administrative and other expenses หรือ G&A (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ)
เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนของการบริหารจัดการ การดำเนินงาน ธุรการ ค่าจ้างผลตอบแทนพนักงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
4. Depreciation, Depletion and Amortization หรือ DD&A (ค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้นและค่าตัดการจำหน่าย)
ต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้คือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม มันคือส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ในแหล่งปิโตรเลียมที่ค้นพบปริมาณสำรองที่พิสูจน์ได้แล้ว เงินลงทุนก่อสร้างแท่นผลิตต่างๆและขุดเจาะหลุมผลิตตอนพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมจะกลายเป็นสินทรัพย์ เช่น หลุมสำรวจ หลุมผลิต แท่นผลิต เครื่องมืออุปกรณ์การผลิต รวมถึงต้นทุนการรื้อถอน ฯลฯ มูลค่าของพวกนี้จะมีค่าเสื่อมราคาโดยคำนวณโดยวิธีสัดส่วนของผลผลิตตลอดอายุของปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว เมื่อหมดอายุสัมปทาน ของเหล่านี้จะกลายเป็นแค่เศษเหล็กที่ต้องรื้อถอนออกไป ดังนั้น ส่วนนี้คือต้นทุนที่จ่ายแล้วจริงตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม (ส่วนนึงของ Finding Cost เช่นเดียวกัน) แต่ใช้วิธีทยอยตัดรายจ่ายในรูปค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั่นเอง ส่วนแหล่งที่พบปริมาณที่ไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์สินทรัพย์ทุกอย่างจะถูกตัดการจำหน่ายเป็นค่าใช้จ่ายออกไปทั้งหมด
5. Asset Impairment (การด้อยค่าของสินทรัพย์)
ต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้จะคล้ายในส่วนของค่าเสื่อมราคา แต่เกิดจากการที่ราคาตลาดของสินทรัพย์ที่เกิดจากการลงทุนพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม (หลุมสำรวจ หลุมผลิต แท่นผลิต ฯลฯ) ที่ผมอธิบายในส่วนของค่าเสื่อมราคาฯ นั้น มีราคาเปลี่ยนแปลงลดลงมากกว่าความเสื่อมราคาเนื่องจากการใช้งาน สินทรัพย์ที่เรามีล้าสมัยแล้ว (ราคาตก) รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจนมีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ (กู้เงินมาสร้าง) ถ้าสมมติเราขายสินทรัพย์ (เช่น ขายกิจการ) จะทำให้ขายได้ในราคาต่ำกว่าต้นทุนจริงหลังหักค่าเสื่อมไปแล้ว ดังนั้นต้นทุนนี้คือต้นทุนแฝงในส่วนของ Finding Cost ด้วย
ที่ขาดไม่ได้อีกอันก็คือ
6. Petroleum Income Taxes (ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม)
จะมากน้อยขึ้นอยู่รายได้สุทธิก่อนหักภาษีนั่นเอง และอัตราภาษีก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศที่ไปลงทุนด้วย
และการเอามาเทียบกับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่นั้นยิ่งคนละส่วน เพราะ ราคาน้ำมันที่ขายแต่ละประเทศโครงสร้างนั้นต่างกัน
โดยเฉพาะต้นตอโพสต์ที่ไปจับเอาข้อมูลบางส่วนมาโพสต์
ความเป็นจริงคือ
เป็นเรื่องค่าใช้จ่ายของ HESS โดยสาระสำคัญที่จับเอามากระเดียดคือ สรุปรายได้และค่าใช้จ่ายในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของบริษัท HESS Corp ในปี 2011
เนื่องจากทาง Hess ไม่ได้จำแนกสัดส่วนต้นทุนและค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างเป็นรายทวีป มีแค่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในกระบวนการหรือ Production (Lifting) Cost เพียงอย่างเดียวที่แจกแจงตามทวีป ดังนั้น ผมจะลองคำนวณคร่าวๆตามสัดส่วนของค่าใช้จ่ายโดยรวมของค่าใช้จ่ายในแต่ละประเภท (ซึ่งถ้าให้ถูกต้องจริงๆ ต้องใช้ค่าใช้จ่ายแยกตามทวีปทั้งหมด) ดังต่อไปนี้ครับ
ตารางแสดงการคำนวณต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดตามสัดส่วนของค่าใช้จ่ายรวมและแสดงกำไรสุทธิ ในส่วนของทวีปเอเชีย ของบริษัท Hess Corp. ปี 2011
จะเห็นได้ว่า ค่าใช้จ่ายที่ผมประมาณจากการเทียบสัดส่วนค่าใช้จ่ายโดยรวมนั้น ทำให้ทวีปเอเชีย มีค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อหน่วย BOE ที่ผลิตได้คือ $29.45/BOE และ ภาษีเงินได้ที่ต้องหัก จากข้อมูลของ HESS เอง คิดเป็น 33% ของรายได้สุทธิก่อนหักภาษี สรุปแล้ว HESS จะมีกำไรสุทธิจากปิโตรเลียมในทวิปเอเชียอยู่ที่ $13.7/BOE หรือ 2.5 บาทต่อลิตรเทียบเท่าน้ำมันดิบ* เท่านั้นเองครับ (ทั้งหมดนี้คือค่าประมาณการจากการสัดส่วนค่าใช้จ่ายจากค่าใช้จ่ายรวม ซึ่งถ้าให้ถูกต้องจริงๆ ต้องใช้ค่าใช้จ่ายแยกตามทวีปทั้งหมด)
*อัตราแลกเปลี่ยน 29 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ และ 1 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เท่ากับ 159 ลิตร
ผู้ที่จัดทำรูป ได้เข้าใจผิดและนำต้นทุนส่วนกระบวนการผลิต (Production Cost หรือ Lifting Cost) มาเพียงแค่อันเดียว ซึ่งความเป็นจริงแล้วต้นทุนการผลิตทั้งหมดจะต้องรวม ต้นทุนที่เกิดจากการสำรวจและค้นหา ต้นทุนการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม ต้นทุนการบริหารจัดการ รวมถึงต้นทุนของดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกครับ รูปดังต่อไปนี้เป็นการแสดงยอดขายและต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในส่วนของสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของบริษัท Hess Corp ปี 2011
รูปแสดงยอดขายและค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งหมดของบริษัท Hess Corp ในปี 2011
1. Production expenses including related taxes (ค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต หรือ Lifting cost)
ต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้คือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนกระบวนการผลิตเท่านั้น จากคำนิยามที่ทาง HESS ให้ไว้คือ เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนกระบวนการผลิต การซ่อมบำรุงรักษาหลุมผลิต, อุปกรณ์การผลิต รวมค่าขนส่งและส่วนที่เป็นภาษีเพิ่มเติม (เป็นค่าภาคหลวง ผลตอบแทนพิเศษ ส่วนแบ่งกำไร) บางบริษัทจะแยกส่วนที่เป็นค่าภาคหลวงและค่าใช้จ่ายอื่นที่ต้องให้รัฐอีกต่างหาก ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ทาง HESS Corp แยกเป็นส่วนของทวีปเอเชียเท่ากับ $10.62/BOE
2. Exploration expenses, including dry holes and lease impairment (ค่าใช้จ่ายในการสำรวจ)
ต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้คือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการสำรวจและขุดเจาะหลุมสำรวจปิโตรเลียมทั้งหมด รวมถึงหลุมที่ไม่พบปิโตรเลียมด้วย ต้นทุนนี้คือต้นทุนส่วนนึงของ Finding Cost
3. General, administrative and other expenses หรือ G&A (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ)
เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนของการบริหารจัดการ การดำเนินงาน ธุรการ ค่าจ้างผลตอบแทนพนักงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
4. Depreciation, Depletion and Amortization หรือ DD&A (ค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้นและค่าตัดการจำหน่าย)
ต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้คือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม มันคือส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ในแหล่งปิโตรเลียมที่ค้นพบปริมาณสำรองที่พิสูจน์ได้แล้ว เงินลงทุนก่อสร้างแท่นผลิตต่างๆและขุดเจาะหลุมผลิตตอนพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมจะกลายเป็นสินทรัพย์ เช่น หลุมสำรวจ หลุมผลิต แท่นผลิต เครื่องมืออุปกรณ์การผลิต รวมถึงต้นทุนการรื้อถอน ฯลฯ มูลค่าของพวกนี้จะมีค่าเสื่อมราคาโดยคำนวณโดยวิธีสัดส่วนของผลผลิตตลอดอายุของปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว เมื่อหมดอายุสัมปทาน ของเหล่านี้จะกลายเป็นแค่เศษเหล็กที่ต้องรื้อถอนออกไป ดังนั้น ส่วนนี้คือต้นทุนที่จ่ายแล้วจริงตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม (ส่วนนึงของ Finding Cost เช่นเดียวกัน) แต่ใช้วิธีทยอยตัดรายจ่ายในรูปค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั่นเอง ส่วนแหล่งที่พบปริมาณที่ไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์สินทรัพย์ทุกอย่างจะถูกตัดการจำหน่ายเป็นค่าใช้จ่ายออกไปทั้งหมด
5. Asset Impairment (การด้อยค่าของสินทรัพย์)
ต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้จะคล้ายในส่วนของค่าเสื่อมราคา แต่เกิดจากการที่ราคาตลาดของสินทรัพย์ที่เกิดจากการลงทุนพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม (หลุมสำรวจ หลุมผลิต แท่นผลิต ฯลฯ) ที่ผมอธิบายในส่วนของค่าเสื่อมราคาฯ นั้น มีราคาเปลี่ยนแปลงลดลงมากกว่าความเสื่อมราคาเนื่องจากการใช้งาน สินทรัพย์ที่เรามีล้าสมัยแล้ว (ราคาตก) รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจนมีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ (กู้เงินมาสร้าง) ถ้าสมมติเราขายสินทรัพย์ (เช่น ขายกิจการ) จะทำให้ขายได้ในราคาต่ำกว่าต้นทุนจริงหลังหักค่าเสื่อมไปแล้ว ดังนั้นต้นทุนนี้คือต้นทุนแฝงในส่วนของ Finding Cost ด้วย
ที่ขาดไม่ได้อีกอันก็คือ
6. Petroleum Income Taxes (ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม)
จะมากน้อยขึ้นอยู่รายได้สุทธิก่อนหักภาษีนั่นเอง และอัตราภาษีก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศที่ไปลงทุนด้วย
และการเอามาเทียบกับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่นั้นยิ่งคนละส่วน เพราะ ราคาน้ำมันที่ขายแต่ละประเทศโครงสร้างนั้นต่างกัน
ตลาดซื้อขายน้ำมันของโลก
ตลาดซื้อขายน้ำมันของโลกใน 3 ภูมิภาคใหญ่
- ภูมิภาคเอเชีย : มีการซื้อขายที่ตลาดสิงคโปร์ จุดส่งมอบที่สิงคโปร์และอ่าวเปอร์เชีย (ตะวันออกกลาง)
- ภูมิภาคอเมริกา : มีการซื้อขายที่ตลาดฮุสตัน จุดส่งมอบที่ U.S. Gulf Coast และตลาดนิวยอร์ก จุดส่งมอบที่ New York Harbor
- ภูมิภาคยุโรป : มีการซื้อขายที่ตลาดลอนดอน จุดส่งมอบที่ Rotterdam & Antwerp (ARA), Port Amsterdam และ Mediterranean (Italy)
ตลาดสิงคโปร์จะอ้างอิงทำไม ในเมื่อผลิตน้ำมันได้เอง
ราคาน้ำมันสิงคโปร์เป็นตัวเลขราคาที่ผู้ค้าน้ำมันจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียเข้าไปตกลงซื้อ-ขายผ่านตลาดกลางสิงคโปร์ ไม่ใช่ราคาที่ประเทศสิงคโปร์หรือโรงกลั่นในสิงคโปร์ ประกาศเพื่อซื้อขายเอง
ทั้งนี้ ตลาดซื้อ-ขายระหว่างประเทศที่เป็นแหล่งใหญ่มีเพียง 3 แห่ง คือ ตลาดนิวยอร์ก (NYMEX-New York Merchantile Exchange) ตลาดลอนดอน (IPE-International Petroleum Exchange) และตลาดสิงคโปร์ (SIMEX-Singapore Monetary Exchange)
สำหรับสาเหตุที่ทำให้สิงคโปร์เป็นตลาดกลางซื้อ-ขายน้ำมันของภูมิภาคเอเชียนั้น ประกอบด้วย
สิงคโปร์มีกำลังการกลั่นเหลือเพื่อการส่งออกมากที่สุด สิงคโปร์มีกำลังการกลั่น 1.2-1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน สามารถส่งออกได้ประมาณ 8 แสนถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับประเทศไทยมีกำลังการกลั่นประมาณ 10.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่เหลือส่งออกประมาณ 1.7 แสนบาร์เรลต่อวัน
การกลั่นที่สิงคโปร์เป็นการกลั่นเพื่อการส่งออกที่แท้จริง ถือเป็นการกลั่นเพื่อการส่งออก เนื่องจากโรงกลั่นอื่นในเอเชีย แม้จะมีกำลังการกลั่นมากกว่าสิงคโปร์แต่ก็เป็นการกลั่นเพื่อบริโภคในประเทศเป็นหลัก เมื่อมีปริมาณเหลือจึงส่งออก การที่โรงกลั่นในสิงคโปร์กลั่นเพื่อการส่งออกเป็นหลักทำให้ราคาจำหน่ายของตลาดสิงคโปร์สะท้อนราคาส่งออกสากลที่แท้จริง และสะท้อนความสามารถในการจัดหาและสภาพความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปของภูมิภาคเอเชีย
ทำเลที่ตั้งของสิงคโปร์เป็นเมืองท่าที่สำคัญ สภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศสิงคโปร์เอื้อต่อการเป็นจุดศูนย์กลางการเดินเรือของเอเชีย เป็นจุดรับน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางและเป็นจุดกระจายน้ำมันสำเร็จรูปไปยังพื้นที่ต่างๆ ในเอเชียได้โดยสะดวก
ระบบการจัดการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อม สิงคโปร์มีนโยบายการบริหารประเทศ โดยมุ่งเน้นที่จะจูงใจและอำนวยความสะดวกให้กับการลงทุน และการทำธุรกิจระหว่างประเทศเช่น ระบบบริหารราชการที่มีประสิทธิภาพสามารถติดต่อจัดตั้งหน่วยงานหรือบริษัทเพื่อทำธุรกิจได้สะดวกรวดเร็ว การมีมาตรการจัดเก็บภาษีธุรกิจในอัตราต่ำเพื่อจูงใจผู้ลงทุนสูง เป็นเหตุให้บริษัทหรือตัวแทนจากประเทศในเอเชียสามารถเข้ามาทำธุรกิจเจรจาติดต่อซื้อ-ขายผ่านตลาดสิงคโปร์ได้อย่างคล่องตัว ความเป็นสากลในเชิงธุรกิจ และความพร้อมในระบบการขนส่งทางเรือ
สาเหตุที่ต้องใช้ราคาสิงคโปร์เป็นฐานคำนวณ
สะท้อนราคาตลาดและอุปสงค์-อุปทานในภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง เนื่องจากในตลาดกลางสิงคโปร์แห่งนี้มีผู้ซื้อ-ขายจำนวนมากจากทุกประเทศไทยในเอเชีย จึงไม่มีผู้ซื้อ-ขายรายใดรายหนึ่งสามารถเข้าไปแทรกแซงหรือปั่นราคาได้ ราคาที่ตลาดสิงคโปร์จึงเป็นราคาที่สะท้อนสภาพตลาดและสภาวะอุปสงค์อุปทานในภูมิภาคเอเชียและของตลาดโลกอย่างแท้จริง
สะท้อนต้นทุนการนำเข้าของไทยในระดับต่ำสุด ตลาดสิงคโปร์เป็นตลาดซื้อ-ขายระหว่างประเทศและเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเซีย ซึ่งใกล้ไทยมากที่สุด ดังนั้น ต้นทุนในการนำเข้าจึงเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดที่โรงกลั่นไทยต้องแข่งขันด้วย
ขณะเดียวกัน สิงคโปร์มีระยะทางที่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด เมื่อเทียบกับตลาดน้ำมันสากลอื่น คือที่นิวยอร์กและลอนดอน หากประเทศไทยจะต้องนำเข้าน้ำมัน การนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์จะมีต้นทุนต่ำสุด ดังนั้นการกำหนดราคาน้ำมันของไทยจำเป็นต้องพิจารณาจากระดับที่แข่งขันได้
ทำให้เกิดสมดุลในการผลิตและการจัดหาของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีนโยบายระบบการค้าน้ำมันเสรี สามารถนำเข้า-ส่งออกได้อย่างเสรี หากไม่กำหนดราคาขึ้น-ลงไปตามตลาดสิงคโปร์ จะทำให้เกิดปัญหาไม่สมดุลในการผลิตและการจัดหาของประเทศขึ้น กล่าวคือ หากไทยกำหนดราคาของตนเองโดยรัฐเข้าไปควบคุมราคาของโรงกลั่น (ไม่ว่าจะด้วยการกำหนดให้ราคาคงที่ หรือใช้ราคาน้ำมันดิบบวกด้วยค่าใช้จ่ายคงที่) เมื่อใดที่ราคาที่กำหนดเองต่ำกว่าราคาตลาดสิงคโปร์ จะทำให้โรงกลั่นนำน้ำมันส่งออกไปขายที่ตลาดสิงคโปร์เพราะจะได้ราคาสูงกว่า ซึ่งอาจทำให้ปัญหาน้ำมันขาดแคลนในประเทศได้
และในทางกลับกัน หากเมื่อใดราคาสิงคโปร์ลดลงจนต่ำกว่าราคาที่กำหนดเอง ผู้ค้าน้ำมันในประเทศก็ไม่อยากซื้อจากโรงกลั่น เพราะนำเข้ามาจากตลาดสิงคโปร์จะถูกกว่า ซึ่งทั้งสองกรณีจะทำให้เกิดการนำเข้า-ส่งออกขึ้นโดยไม่จำเป็น ทำให้ประเทศต้องสูญเสียเงินตราต่างประเทศในการจ้างเรือขนส่งน้ำมันเนื่องจากประเทศไทยมีเรือบรรทุกน้ำมันไม่เพียงพอ
ทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียใช้ราคาตลาดสิงคโปร์ตัวอ้างอิง ทั้งในการเจราซื้อ-ขายระหว่างประเทศ และใช้เป็นฐานการคำนวณต้นทุนราคาภายในประเทศ ส่วนการที่ราคาขายปลีกน้ำมันของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันนั้น ขึ้นอยู่กับระบบการจัดเก็บภาษีหรือการจ่ายเงินอุดหนุนของแต่ละประเทศ
การใช้ราคาน้ำมันสิงคโปร์เป็นฐานการคำนวณจึงมีผลดีมากกว่าผลเสีย
Subscribe to:
Posts (Atom)