Showing posts with label ปตท. Show all posts
Showing posts with label ปตท. Show all posts

มั่วดราม่าไม่เลิก พม่าน้ำมันถูกกว่าไทย เพราะ..

เมื่อดราม่าไม่เลิก ก็จะออกมั่วๆ หน่อย สร้างความเกลียดชัง แถมยังดูถูกประเทศไทยและพม่า



พม่าน้ำมันถูกกว่าไทยเพราะ โครงสร้างราคาน้ำมันล้วนๆ ส่วนเหตุผลทีละข้อที่ส่งต่อกันๆก็ไม่ได้มองเหตุการณ์หรือข้อมูลอะไรเลย

........1.พม่าไม่มีกระทรวงพลังงาบแบบไทย.....

ตอบ : มั่วละครับ นี่คือเวปไซต์อย่างเป็นทางการของกระทรวงพลังงานประเทศพม่า http://www.energy.gov.mm/

........2.พม่าไม่มีสถาบันปิโตรเลี่ยมแบบไทย

ตอบ : พม่าหรือประเทศไหนอยู่ที่นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ สถาบันปิโตรเลียมของไทยจัดตั้งเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ในด้านปิโตรเลียม นำมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของไทย ในกรณีของพม่า คาดว่าน่าจะเป็น Myanma Petrochemical Enterprise(MPE)

........3.พม่าไม่มีบริษัทค้าน้ำมันปิโตรเลี่ยมเป็นของรัฐแบบ ปตทวย. ....

ตอบ : พม่าขายน้ำมันโดยรัฐ โดยหน่วยงาน Myanma Petroleum Products Enterprise (MPPE) ส่วนอัตราการเก็บภาษี กองทุน อยู่ที่ นโยบายของแต่ละประเทศ

........4..พม่าไม่มี กบง.คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแบบไทย....
........5..พม่าไม่มี..กพช...คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแบบไทย....

ตอบ : คนเขียนมั่วจุง ไม่มีความรู้อะไรเลย พม่า มี Energy Planning Department(EPD)ทำหน้าที่ ประสาน จัดการ และ วางกฎระเบียบ ซึ่งชื่อมันอาจต่างกับประเทศไทย แต่มาเหมาเอาว่าประเทศพม่าไม่มี ถือว่าอคติมาก

........6..พม่าไม่มีสถาบันวิจัยพลังงานแบบมหาลัยดังในไทย...
........7.พม่าไม่มีวิศวกรรมปิโตรเลียมแบบมหาลัยดังของไทย...

ตอบ : พม่า มีมหาลัยที่คล้าย ม. เกษตรศาสตร์ ย่างกุ้ง มหาลัยเค้าสร้างก่อนจุฬาแต่ ไม่สอนเลี้ยงสัตว์ สอนแต่ปลูกป่า ในทางตรงกันข้าม ของไทย มีวิศวกรปิโตรเลียมที่ทำผลงาน มีนวัตกรรมมากมาย

ถัดมา พม่า เริ่มเจอน้ำมันครั้งแรก เมื่อปี คศ. 1853 แต่มีการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่างๆ จนกระทั่งถึงปี คศ. 2011 ถึงจะเริ่มมีกฎเป็นรูปเป็นร่างมี Petrochemical Complex ที่ Thanbayakan ที่ผลิตได้แค่ 25,000 B/D

หมายเหตุ ทุกวันนี้ ทรัพยากรบุคคลในอุตสาหกรรมประเภทนี้ เป็นที่ต้องการมาก เพราะเริ่มเปิด AEC จีน เริ่มเข้าไปลงทุนที่ประเทศพม่าแล้ว มีการต่อท่อส่งน้ำมัน และ ร่วมทุนกับพม่ามากมาย (แสดงให้เห็นว่า พม่ามีทรัพยากรธรรมชาติที่เยอะกว่าประเทศไทยมากมายหลายเท่า)

.........8.พม่าไม่มีโรงกลั่นแม้สักโรงเดียว...ต้องซื้อน้ำมันจากไทยเท่านั้น

ตอบ : พม่ามีโรงกลั่นเล็กๆ ที่ Thanlyin และ Chauk กำลังการผลิต 20,000 และ 6,000 B/D ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากสิงคโปร์มากที่สุด

.........9.พม่าไม่มีด้อกเตอร์ พลังงาน ด้อกเต้อ ปิโตรเลียม..ด้อกเต้อ เศรษฐศาสตร์..บอร์ด(ตาบอด)พลังงาน ...บอร์ด(ตาบอด)ปิโตรเลียม มากมายหลายองค์กร แบบไทย...

ตอบ : อย่าดูถูก ประเทศตัวเอง และ ประเทศเพื่อนบ้าน พม่า หรือ ประเทศไหนก็มีเฉกเช่นเดียวกันหมด และอาชีพเหล่านี้เป็นที่ต้องการของตลาดด้วยซ้ำ

.........เขาเลยคิดราคาพลังงานลึกซึ้งแยบคายแบบไทยไม่เป็น

กล่าวโดยสรุป ควรมองเรื่องความมั่นทางพลังงานในภาพรวมบ้าง ประเทศพม่า บางพื้นที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วยซ้ำ พม่าไม่มีกลไกราคาน้ำมัน ช่วยเหลือประชาชน ยามที่พลังงานมีราคาผันผวน พม่าแก๊สหุงต้มแพงกว่าประเทศไทย พม่าไม่มีพลังงานทางเลือกให้เลือกใช้มากนัก และ พม่า ยังมีการปล่อยมลพิษในเชื้อเพลิงมากกว่าประเทศไทยอีก (มาตรฐานน้ำมันต่ำกว่าไทย)


บทความที่คล้ายกัน

คุณจะกลายเป็นคนโง่ทันที เมื่อคิดว่า ปตท. คือกล่องดวงใจทักษิณ

ข้อความสุดแสนมโน ไม่ต้องคิดจะปองดองได้เด็ดขาด ถ้าคิดแชร์เลย โดยไม่หาข้อมูลเพิ่มเติม



ปตท.เคยเป็นทรัพย์สินของรัฐ ใช่หรือไม่?


ทุกวันนี้ก็ยังเป็น แถมตรวจสอบง่าย โดยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แถมยังเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่างหาก



ปตท.ถูกแปรรูปสมัยทักษิณ เป็นนายกใช่หรือไม่?

ไม่ใช่แน่นอน



การแปรรูป ปตท. เริ่มจาก เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับทราบผลการประชุมการระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาตลาดทุน ซึ่งเห็นชอบแผนเตรียมความพร้อมในการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยในจำนวนนี้มี การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบที่จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างช้าภายในเดือนพฤศจิกายน 2544

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันหารือถึงการกำหนดโครงสร้างและขั้นตอนในการแปรสภาพ ปตท. เป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยอาศัยพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการนำ ปตท. เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ภายในปี 2544



หุ้นถูกจัดสรรหมดภายใน77 วินาที ใช่หรือไม่?

เรื่องการขายหุ้น ปตท. นี้ เป็นที่กังขาด่าทอของหลายฝ่าย โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ขายหมดในเวลา 1 นาที 17 วินาที กับมีผู้จองซื้อที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองที่มีอำนาจ

ผมขอยืนยันว่า การขายหุ้น IPO ของ ปตท.ในปี 2544 กระทำอย่างโปร่งใส อย่างมืออาชีพ ไม่ได้มีเรื่องสกปรกตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด ซึ่งผมและทีมงานได้เคยไปอธิบายในที่ต่างๆ มามากมาย รวมทั้งกรรมาธิการของสภา เพียงแต่ยังไม่เคยเขียนอธิบายด้วยตัวเอง (จะเขียนอธิบายในบทความครั้งหน้าภายในสุดสัปดาห์นี้ครับ…เพราะเมื่อก่อนยังไม่รู้ว่าตัวเองเขียนหนังสือเป็นมาก่อน)

IPO ของ ปตท. โดยขายหุ้นทั้งหมด 920 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 35 บาท รวมมูลค่า 32,200 ล้านบาทในครั้งนั้น มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจไทย ในประเด็นดังต่อไปนี้

– ปตท. ได้รับเงินไปเสริมฐานะ สามารถปรับโครงสร้างหนี้บริษัทลูกต่างๆ ได้ แถมมีเงินพอที่จะเข้าซื้อกิจการเอกชนอื่นๆ ที่มีปัญหา เช่น โรงกลั่นน้ำมัน ปิโตรเคมี ทำให้ขยายตัวเป็นกิจการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นกิจการระดับโลก มีขนาดใหญ่กว่าปูนซีเมนต์ไทย (SCG) ที่เคยใหญ่ที่สุดในไทยถึง 3 เท่าตัว

– การเข้าตลาดหลักทรัพย์ทำให้ ปตท. มีการปรับปรุงระบบบริหาร เข้าสู่มาตรฐานสากล มีนักลงทุนทั่วโลกคอยติดตามตรวจสอบ รวมทั้งเป็นแรงกดดันให้พัฒนาก้าวหน้าตลอดเวลา

– การขยายตัวของกลุ่ม ปตท. ทำให้ไทยมีความมั่นคงและเสถียรภาพด้านพลังงาน ต่อเลยไปจนถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายนำ้ (Downstream) ด้านปิโตรเคมี ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลัก


– ทำให้ตลาดทุนไทยพลิกฟื้นกลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกใหม่ ในฐานะที่ทำงานอยู่ในตลาดทุนไทยมากว่า 36 ปี ผมกล้าพูดเลยว่า ถ้าไม่มีการเข้าตลาดฯ ของ ปตท. ตลาดหุ้นไทยจะไม่มีวันนี้ จะไม่ได้กลับมาเป็นกลไกหลัก เป็นแกนในการรวบรวมจัดสรรทรัพยากรให้ระบบเศรษฐกิจเช่นทุกวันนี้ หลังวิกฤติตลาดหุ้นไทยซบเซาอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อธนาคาร 4 แห่งเพิ่มทุนได้แล้ว นักลงทุนผิดหวังขาดทุนทั่วหน้า ตลาดไทยแทบนับได้ว่าตายจากไปจากวงจรตลาดทุนโลก ในปี 2544 ก่อนขายหุ้น SET Index ตกต่ำที่ 280 Market Cap มีแค่ 1.5 ล้านล้าน ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยแค่วันละ 6,300 ล้านบาท เพราะ ปตท. เข้าตลาด จึงปลุกตลาดหุ้นขึ้นมาใหม่ จนปัจจุบัน SET Index 1,350 Merket Cap 12 ล้านล้าน ซื้อขายกันวันละกว่า 30,000 ล้านบาท

ที่มา https://thaipublica.org/2014/03/privatization-5/


ในที่สุดทักษิณตกได้หุ้น35 % จริงหรือไม่?

ไม่จริง ถ้าบอกแบบนั้น กระทรวงการคลังถือ เยอะสุด ที่เหลือ เป็นนักลงทุนรายย่อยทั้งนั้น

รวบรวมจาก Settrade 


ปตท.แจงผลกำไรปีละแสนล้าน! !

ไม่ผิด แต่ต้องดูงบลงทุน ปี 54 ปตท ต้องดูรายได้รวม 2,475,454.57 แล้วจึงเทียบกำไร ถึงจะถูก



ดังนั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงเห็นว่า การโยง ปตท กับ ทักษิณ เป็นเรื่องโง่ และเพ้อเจ้อสุดๆ 

ขี้เกียจอ่าน กดฟังคลิปเอาก็ได้


รู้แล้วจะอึ้ง ว่า NGO ใครบ้างถือหุ้น ปตท.


รู้แล้วจะอึ้ง ว่า NGO ใครบ้างถือหุ้น ปตท. อยากรู้ไปมา อ่าว!! พวกเดียวกันนี่หว่า

ถลกหนังเอ็นจีโอ กับ การถือครองหุ้น ปตท.



ปัญหาแปรรูป ปตท. ทำท่าจะจบได้สวย แต่ก็ยังไม่จบดี เพราะกลุ่มเอ็นจีโอในนามมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยังคงตามรังควาญไม่เลิก

ยื่นฟ้องศาลฯให้หยุดพักการซื้อขายหุ้น ปตท.จนกว่ากระบวนการโอนทรัพย์สินจะเรียบร้อย

เคลื่อนไหวผลักดันจะให้มีการเอาผิดทั้งทางคดีอาญาและแพ่งในกรณีไม่มีการโอนทรัพย์สินท่อก๊าซและที่ดิน ตอน ปตท. แปลงสภาพเป็น บมจ.ไปแล้ว

และร้องแรกแหกกระเฌอกล่าวหาคนไปทั่วว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการถือครองหุ้นปตท.

แต่น่าแปลกอย่างยิ่ง เบื้องหลังกลุ่มประทุษร้ายบ้านเมืองกลุ่มนี้  กลับมีเบื้องหลังที่ค่อนข้างจะสกปรก น่าสังเวชใจอย่างไม่น่าเชิ่อ

ในขณะที่พวกเขากล่าวให้ร้ายคนอื่น พวกเขากลับเป็นพวกถือครองหุ้น ปตท.อยู่ไม่ใช่น้อย!

เข้าถือหุ้น ปตท.โดยตัวเองก็มี และถือหุ้นโดยเครือญาติที่ใช้นามสกุลเดียวกันก็มี รวมแล้วประมาณ 3 แสนหุ้น

ในบรรดากรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ฟ้องร้อง ปตท.จำนวน  11  คน มีตัวกรรมการและญาติกรรมการที่ใช้นามสกุลเดียวกัน ถือหุ้น ปตท.อยู่ถึง 5 คน

ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค  คือ  นส.จิราพร ลิมปานนท์ ได้หุ้นจองไอพีโอ 8,000 หุ้น และญาติที่ใช้นามสกุลเดียวกันอีก 5,000 หุ้น

ญาติกรรมการที่ชื่อ นางสุวรรณา อัศวเรืองชัย ถือครองหุ้นจองอยู่ถึง 1 แสนหุ้น

ญาติกรรมการที่ชื่อ นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ได้หุ้นจองไปทั้งสิ้น 26,000 หุ้น

และญาติกรรมการที่ชื่อ นายสุรเกียรติ อาชานานุภาพ ได้หุ้นจองไป 3 พันหุ้น

ทนายความผู้รับมอบอำนาจฟ้องร้อง ปตท. ที่ชื่อ ชัยวัฒน์  แสงอรุณ มีชื่อคนในครอบครัวแสงอรุณถือหุ้นตั้งแต่ตอนจองไอพีโอ และหลังไอพีโอ รวมกันแล้วถึง 111,031 หุ้น

ปตท. เพิ่งจายปันผลระหว่างกาลตอนครึ่งปีไปหุ้นละ 9.25 บาท รวมแล้วตระกูลแสงอรุณรับเงินปันผลหุ้นปตท.ไปแล้วทั้งสิ้น 1.02 ล้านบาท

นี่ปลายปี จะรับปันผลปตท.เพิ่มอีกหุ้นละ 5 บาท ตระกูลนี้ก็จะได้เงินปันผลอีก 555,155 บาท รวมทั้งปีรับเงินปันผลไป 1.5 ล้านบาทแค่นั้นเอง

นี่มันอะไรกันเนี่ย! ไปฟ้องศาลปกครองว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชน กระทำโดยปิดบังซ่อนเร้น ประชาชนไม่ได้รับรู้ข่าวสารในวงกว้าง

แต่ญาติพี่น้องและตัวกรรมการผู้ร้อง กลับรับรู้ข่าวสารเป็นอันดี   แถมยังได้หุ้นจองที่กล่าวหาไปทั่วว่า กระจายหุ้นโดยไม่เป็นธรรมเสียด้วย

จะเรียกคนที่มีพฤติกรรมกลับกลอกพวกนี้ว่า อะไรดีเล่า

เป็นพวกปากว่าตาขยิบ,  พวกเกลียดตัวกินใข่ เกลียดปลาไหลกินแกง หรือ พวกมนุษย์ลวงโลก ก็ดูจะน้อยไป

แต่ที่แน่ๆพวกเขาเป็นพวกชอบประทุษร้ายสังคม

ผมไม่กลัวการฟ้องร้องเลยสักนิด ฟ้องมาเถอะ จะได้แฉกันให้จะๆกว่านี้ บ้านเมืองจะล่มจมก็เพราะพวกบ้าคลั่งเหล่านี้

วันที่ 18 ธ.ค. 2550

ที่มา ขี่พายุทะลุฟ้า
ที่มา ถลกหนังเอ็นจีโอ กับ การถือครองหุ้น ปตท.

มาดูกันชัดๆ โรงไฟฟ้าถ่านหินเกี่ยวข้องกับทักษิณหรือไม่

ทักษิณซื้อมันทุกอย่างในจักรวาลนี้แหละครับท่านผู้อ่าน



ไม่รู้จะมโนโยงอะไรนักหนา เรื่อง ปตท. ทักษิณ ถ่านหิน แล้วพาลไปโรงไฟฟ้าที่ต้องการความมั่นคงทางพลังงาน รวมไปถึงค่าไฟต้องถูก

เป็นเรื่องปกติที่แสนธรรมดาที่ธุรกิจที่ต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม รวมไปถึง แสวงหาพลังงานของประเทศ ปตท ก็ไปลงทุนซื้อเหมืองถ่านหิน และถ้าจะมโนเอาว่าทักษิณ ก็ไปซื้อเหมืองถ่านหิน แล้วโยงมาเรื่องโรงไฟฟ้านั้น เป็นอะไรที่ไร้สาระมากๆ

1. ต้องไปดูว่าเหมืองถ่านหินที่ ปตท ซื้อ กับ ทักษิณซื้อเป็นแหล่งเดียวกันหรือป่าว ซึ่งลองหาดูแล้ว ไม่รู้ผิดหรือป่าว เสริมกันได้

ที่ ปตท.ซื้อในบริษัท Sakari Resources Limited หรือ SAR ที่ ปตท.เข้าไปถือหุ้นตั้งแต่ในปี 2555 และมีการผลิตถ่านหินใน 2 แหล่งคือ Sebuku และ Jembayan (ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1464348570)



ทักษิณซื้อเป็นแหล่ง ของครอบครัว บาครี ในส่วนที่เกี่ยวกับงานเหมืองถ่านหินจริง โดย เดอะซันเดย์ไทมส์ รายงานเพิ่มเติมอีกว่า  ยูบีเอส เป็นผู้ได้รับการว่าจ้างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเจรจาครั้งนี้ โดยทาง กลุ่มบริษัทบูมีและครอบครัว บาครี ที่มี นายอาบูริซาล บาครี ประธานพรรคโกลคาร์ของอินโดนีเซีย เป็นผู้ถือหุ้น (ที่มา http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=464275)




2. ต้องไปดูว่าถ่านหินที่ กฟผ ใช้ กับแหล่งในอินโดฯ เกี่ยวอะไรกับทักษิณ หรือป่าว ซึ่ง ทาง กฟผ ก็ชี้แจงเหมือนกันว่า ความร้อนของแหล่งที่ไปซื้อใช้กับโรงไฟฟ้าของไทยไม่ได้ (ที่มา  EGATi ย้ำชัดลงทุนในเหมืองถ่านหิน Adaro Indonesia เสริมศักยภาพจัดหาเชื้อเพลิงให้โรงไฟฟ้าที่บริษัทลงทุนในต่างประเทศ ชี้ค่าความร้อนของถ่านหินที่ผลิตได้ไม่ตรงกับค่าความร้อนทางเทคนิคของโรงไฟฟ้ากระบี่ จึงไม่สามารถร่วมประมูลจัดหาถ่านหินให้โรงไฟฟ้ากระบี่ได้ https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1853:20170219-pre01&catid=31&Itemid=208)



3. ถ้าจะมโนนั่นนี่เยอะแยะไปหมด ว่าทำเพื่อ ปตท. หรืออะไรก็จะสุดแล้วแต่เพื่อเพิ่มความเกลียดชัง ก็ถือว่าประสาทมากๆ

ปตท. นั้นมีการลงทุนในแทบจะทุกธุรกิจ ทั้งปาล์ม พลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เยอะแยะไปหมด ตัวอย่าง จีพีเอสซีจะเข้าไปลงทุนในโครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนโครงการแรกในญี่ปุ่น ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อิชิโนเซกิ โซลาร์ เพาเวอร์  http://www.thairath.co.th/content/602262 และ ปตท.ถือหุ้น40%ร่วมทุนสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กับบริษัททีเอสอี http://www.posttoday.com/economy/stock-gold/207304




สรุปแล้ว อยากจะเอาดราม่าเรื่องอะไรดี?

ถลกหนังเอ็นจีโอ กับ การถือครองหุ้น ปตท.

ถลกหนังเอ็นจีโอ



ปัญหาแปรรูป ปตท. ทำท่าจะจบได้สวย แต่ก็ยังไม่จบดี เพราะกลุ่มเอ็นจีโอในนามมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยังคงตามรังควาญไม่เลิก

ยื่นฟ้องศาลฯให้หยุดพักการซื้อขายหุ้น ปตท.จนกว่ากระบวนการโอนทรัพย์สินจะเรียบร้อย

เคลื่อนไหวผลักดันจะให้มีการเอาผิดทั้งทางคดีอาญาและแพ่งในกรณีไม่มีการโอนทรัพย์สินท่อก๊าซและที่ดิน ตอน ปตท. แปลงสภาพเป็น บมจ.ไปแล้ว

และร้องแรกแหกกระเฌอกล่าวหาคนไปทั่วว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการถือครองหุ้นปตท.

แต่น่าแปลกอย่างยิ่ง เบื้องหลังกลุ่มประทุษร้ายบ้านเมืองกลุ่มนี้  กลับมีเบื้องหลังที่ค่อนข้างจะสกปรก น่าสังเวชใจอย่างไม่น่าเชิ่อ


ในขณะที่พวกเขากล่าวให้ร้ายคนอื่น พวกเขากลับเป็นพวกถือครองหุ้น ปตท.อยู่ไม่ใช่น้อย!

เข้าถือหุ้น ปตท.โดยตัวเองก็มี และถือหุ้นโดยเครือญาติที่ใช้นามสกุลเดียวกันก็มี รวมแล้วประมาณ 3 แสนหุ้น

ในบรรดากรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ฟ้องร้อง ปตท.จำนวน 11 คน มีตัวกรรมการและญาติกรรมการที่ใช้นามสกุลเดียวกัน ถือหุ้นปตท.อยู่ถึง 5 คน

ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค  คือ  นส.จิราพร ลิมปานนท์ ได้หุ้นจองไอพีโอ 8,000 หุ้น และญาติที่ใช้นามสกุลเดียวกันอีก 5,000 หุ้น

ญาติกรรมการที่ชื่อ นางสุวรรณา อัศวเรืองชัย ถือครองหุ้นจองอยู่ถึง 1 แสนหุ้น

ญาติกรรมการที่ชื่อ นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ได้หุ้นจองไปทั้งสิ้น 26,000 หุ้น

และญาติกรรมการที่ชื่อ นายสุรเกียรติ อาชานานุภาพ ได้หุ้นจองไป 3 พันหุ้น

ทนายความผู้รับมอบอำนาจฟ้องร้อง ปตท. ที่ชื่อ ชัยวัฒน์  แสงอรุณ มีชื่อคนในครอบครัวแสงอรุณถือหุ้นตั้งแต่ตอนจองไอพีโอ และหลังไอพีโอ รวมกันแล้วถึง 111,031 หุ้น

ปตท. เพิ่งจายปันผลระหว่างกาลตอนครึ่งปีไปหุ้นละ 9.25 บาท รวมแล้วตระกูลแสงอรุณรับเงินปันผลหุ้นปตท.ไปแล้วทั้งสิ้น 1.02 ล้านบาท

นี่ปลายปี จะรับปันผลปตท.เพิ่มอีกหุ้นละ 5 บาท ตระกูลนี้ก็จะได้เงินปันผลอีก 555,155 บาท รวมทั้งปีรับเงินปันผลไป 1.5 ล้านบาทแค่นั้นเอง

นี่มันอะไรกันเนี่ย! ไปฟ้องศาลปกครองว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชน กระทำโดยปิดบังซ่อนเร้น ประชาชนไม่ได้รับรู้ข่าวสารในวงกว้าง

แต่ญาติพี่น้องและตัวกรรมการผู้ร้อง กลับรับรู้ข่าวสารเป็นอันดี แถมยังได้หุ้นจองที่กล่าวหาไปทั่วว่า กระจายหุ้นโดยไม่เป็นธรรมเสียด้วย

จะเรียกคนที่มีพฤติกรรมกลับกลอกพวกนี้ว่า อะไรดีเล่า

เป็นพวกปากว่าตาขยิบ,  พวกเกลียดตัวกินใข่ เกลียดปลาไหลกินแกง หรือ พวกมนุษย์ลวงโลก ก็ดูจะน้อยไป

แต่ที่แน่ๆพวกเขาเป็นพวกชอบประทุษร้ายสังคม

ผมไม่กลัวการฟ้องร้องเลยสักนิด  ฟ้องมาเถอะ จะได้แฉกันให้จะๆกว่านี้ บ้านเมืองจะล่มจมก็เพราะพวกบ้าคลั่งเหล่านี้

วันที่ 18 ธ.ค. 2550

ที่มา ขี่พายุทะลุฟ้า

คุณจะต้องอึ้ง เมื่อได้เห็นคะแนนความโปร่งใสองค์กรต่างๆ จากเอกสารนี้

เห็นองค์กรอิสระคอยตรวจสอบนั่นนี่องค์กรต่างๆ แต่พอมีการจัดให้คะแนนความโปร่งใสองค์กร กลับอยู่ในอันดับที่ไม่น่าเชื่อ


มีรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา ป.ป.ช. ได้เผยแพร่ผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity &Transparency Assessment หรือ ITA) ประจำปีงบประมาณ 2558 (ป.ป.ช. ประกาศผลเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2559)
       
(สามารถดูอันดับได้ทาง https://www.nacc.go.th/download/article/article_20160912155521.pdf)
       
ทั้งนี้ มีการประเมินหน่วยงานทั้งสิ้น 115 หน่วยงาน แบ่งเป็น สำนักงานศาล (เฉพาะหน่วยธุรการ) 3 หน่วยงาน องค์กรอิสระ 3 หน่วยงาน องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ 2 หน่วยงาน สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา 1 หน่วยงาน สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 1 หน่วยงาน หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 55 หน่วยงาน องค์การมหาชน 50 หน่วยงาน ทั้งนี้ ในการประเมินใช้เกณฑ์คะแนนเต็ม 100 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลงานด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการทำงานทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 1. ความโปร่งใส 2. ความรับผิดชอบ 3. การปลอดทุจริต 4. วัฒนธรรมองค์กร และ 5. คุณธรรมในการมอบหมายงาน

โดย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน อยู่อันดับที่ 46 จาก 115

ซึ่งเมื่อเทียบกับ กฟผ. และ ปตท. นั้น อยู่อันดับ ที่ 16 และ 19 จาก 115 ตามลำดับ


ดังนั้น เราควรแล้วหรือไม่ ในการตั้งคำถาม กับ การทำหน้าที่ขององค์กรอิสระนี้ ในการตรวจสอบเงินของแผ่นดิน หรือ การออกมาเคลื่อนไหวต่างๆ

(สามารถดูอันดับได้ทาง https://www.nacc.go.th/download/article/article_20160912155521.pdf)

ปตท. กับ ปิโตรนาส ต่างกันเพราะ?

อาจเกิดความเข้าใจผิดรวมไปถึงสับสนในการตีความภาพ info graphic นี้ ซึ่งที่จะสื่อให้เห็นว่า ปตท. กับ ปิโตรนาส ต่างกัน

แม้ว่า ปตท. และ ปิโตรนาส จะดำเนินธุรกิจปิโตรเลียมที่ครบวงจร ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ อย่างธุรกิจสำรวจและผลิตจนถึงธุรกิจปลายน้ำ อย่างธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและก๊าซ เหมือนกันก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้ 2 บริษัทมีความแตกต่างกัน ประเด็นหลักๆ คือ



"สิทธิความเป็นเจ้าของแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียม"

- แหล่งปิโตรเลียมในประเทศไทยทุกแหล่งรัฐบาลไทยเป็นเจ้าของ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม เสมอภาค และข้อเสนอที่ดีที่สุด -

รัฐจึงเปิดให้เอกชนและบริษัทที่รัฐถือหุ้นอยู่ เข้ามายื่นขอสัมปทาน โดยจะต้องแบ่งส่วนแบ่งให้กับภาครัฐ ตามที่กำหนด และบริษัทในกลุ่ม ปตท. (ปตท.สผ.) ก็ถือเป็นผู้แข่งขันรายหนึ่งที่ต้องยื่นขอสิทธิ์สัมปทานจากภาครัฐเช่นกัน โดยไม่ได้สิทธิพิเศษใดๆ และต้องแข่งขันกับเอกชนรายอื่นๆ

- ซึ่งต่างกับมาเลเซียที่แหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมทุกแหล่ง รัฐได้มอบหมายให้ปิโตรนาสที่ขึ้นตรงกับรัฐบาล -

ให้ดำเนินกิจการขุดเจาะสำรวจ ผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว ขณะเดียวกันบางแหล่ง ที่อาจมีความเสี่ยง รัฐจะทำการมอบหมายให้ปิโตรนาสเป็นผู้ร่วมในการดำเนินการเป็นคู่สัญญา ร่วมกับบริษัทเอกชนอื่นเข้ามาสำรวจขุดเจาะ โดยบริษัทนั้นต้องแบ่งผลประโยชน์ให้ปิโตรนาสตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ฉะนั้นแล้วการเปรียบเทียบกำไร การแข่งขันทางธุรกิจ รวมไปถึงศักยภาพทางธรณีวิทยา ย่อมเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว



แน่นอนว่า หากทรัพยากรปิโตรเลียมทั้งหมดในประเทศไทย ปตท. ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการแต่เพียงผู้เดียวเฉกเช่น ปิโตรนาส จะทำให้ ปตท.ได้รับสิทธิ์ผูกขาดจะยิ่งขัดกับสิ่งที่คนบางกลุ่ม

******บอกว่า ปตท. ผูกขาดในการจัดการทรัพยากรแน่นอน******

หรือกลุ่มที่โจมตี ภาพ info graphic นี้ ต้องการให้ ปตท. เหมือนปิโตรนาสในเรื่องการผูกขาดด้านการจัดการทรัพยากรปิโตรเลียม รวมไปถึงการบริหารจัดการทรัพยากรในประเทศแต่เพียงผู้เดียว จะย้อนแย้งทันทีกับการที่บอกว่าไม่ต้องการให้ ปตท. ได้รับสิทธิ์ในการผูกขาดกิจการด้านต่างๆ ทันที

ที่มา น้องปอสาม ปตท. กับ ปิโตรนาส ต่างกันเพราะสาเหตุใดบ้าง

โรงกลั่น 1 บาท เลิกมโน เพราะเหตุผลต่อไปนี้

มีการอ้างคำกล่าวไปเรื่อยว่า มีการตีมูลค่าโรงกลั่น มีมูลค่า 1 บาท


ในความเป็นจริงนั้น การใส่ตัวเลขว่า โรงกลั่น 1 บาท เป็นการเข้าไป take over ตามคำสั่งรัฐบาล แล้วเรื่องตีค่าโรงกลั่นก็เป็นเรื่องทางบัญชีไม่ได้หมายถึงมูลค่าจริงๆ ของโรงกลั่น

มูลค่าหุ้น กับ มูลค่าสินทรัพย์ .. เป็นมูลค่ากันคนละตัว เอามาเทียบกันไม่ได้

และในปี 2547 เชลล์ ขายหุ้นโรงกลั่นระยองให้ ปตท. ด้วยราคาหุ้นตามมูลค่าบัญชี 1 บาท แต่มีหนี้ที่ติดมาด้วยอีกหลายหมื่นล้านบาท ปตท. ได้มาก็ต้องมาจ่ายหนี้แทน พร้อมปรับโครงสร้างหนี้ และปรับปรุงให้ดีขึ้น แล้วในปี 2549 ปตท. นำโรงกลั่นน้ำมันระยอง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ความจริงแล้ว ปตท. เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท Shell เนื่องจากรัฐบาลไม่ต้องการให้โรงกลั่นตกอยู่ในมือต่างชาติ โดยซื้อในราคา 5 ล้านเหรียญฯ แต่


ปตท. ต้องแบกรับหนี้สินของ Shell
ไปอีกจำนวนถึง 1,335 ล้านเหรียญฯ หรือ
คิดเป็นมูลค่า
มากกว่า 41,000 ล้านบาท

หลังจากนั้น ปตท. ได้บริหารงานจนสามารถชำระหนี้ได้และผลประกอบการดีขึ้น มีกำไร และได้เป็น Asset ของประเทศ ทำให้มีความมั่นคงทางด้านพลังงานมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น คำว่าโรงกลั่น 1 บาท นั้น เป็นแค่การใส่ตัวเลขทางบัญชี แต่ไม่ได้มีการเอาตัวเลขหนี้สินเข้ามารวมเข้าไปด้วยนั่นเอง

ไขความกระจ่าง เลิกดราม่า เจ๊แดงกับอเมซอน เพราะสาเหตุต่อไปนี้

สืบเนื่องจากในสื่อออนไลน์มีการแชร์ต่ออย่างมากมายว่า ร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอนที่เปิดบริการอยู่ในปั๊มน้ำมัน ปตท. นั้น เป็นธุรกิจของ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือ เจ๊แดง น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีการโยงเข้าการเมืองมากมาย หากพิจารณาให้ดี
ร้านกาแฟโดยส่วนใหญ่เป็นในรูปแบบลักษณะ แฟรนไชส์ (Franchise) หมายถึง การที่เจ้าของสิทธิ (Franchisor) ตกลงอนุญาตให้ผู้รับสิทธิ (Franchisee) ดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อการค้า การบริหาร และระบบธุรกิจของเจ้าของสิทธิ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาขึ้น ผู้รับสิทธิจะต้องดำเนินธุรกิจตามรูปแบบและระบบธุรกิจของเจ้าของสิทธิ และจ่ายค่าตอบแทนแก่เจ้าของสิทธิ (ที่มา http://www.franchisefocus.co.th/index.php/what-is-franchise.html)

ดังนั้น การที่ร้านกาแฟไม่ว่ายี่ห้อใดๆ จะมีบุคคลต่างๆ จะขอเข้ามาร่วมธุรกิจก็สามารถเป็นไปได้ โดยไม่จำกัดว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ขอแค่มีทุน มีทำเลที่ตั้ง ที่เหมาะสม ดังจะเห็นได้จาก ธุรกิจ แฟรนไชส์ต่างๆ ที่ผุดกันทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น บะหมี่เกี๊ยว ชาไข่มุก ข้าวมันไก่ เป็นต้น


และในขณะเดียวกัน ทาง ปตท. ก็ได้ยืนยันแจง ร้านคาเฟ่อเมซอน ไม่ได้เป็นของ เจ๊แดง เยาวภา แต่อย่างใด


คาเฟ่อเมซอน แจงผ่านหน้าเว็บไซต์ ย้ำชัดเป็นธุรกิจที่ประชาชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/405363

จากกรณีที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวลือในโลกออนไลน์ อ้างว่า ร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอน เป็นธุรกิจค้าปลีกภายใต้การดำเนินงานของ ปตท. แท้จริงแล้วเป็นของ เจ๊แดง หรือ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ภรรยาของอดีตนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ พร้อมกันนั้น โลกออนไลน์ยังได้มีการแชร์รูปร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอน พร้อมกับข้อความโจมตี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้ออกมาชี้แจงผ่านเว็บไซต์ www.cafe-amazon.com โดยระว่า ร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอนเป็นธุรกิจค้าปลีกภายใต้การดำเนินงานของ ปตท. ที่เปิดดำเนินการในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันมีร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอนกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ แบ่งการดำเนินธุรกิจออกเป็น 2 ประเภท คือ ร้านกาแฟที่ ปตท. ดำเนินธุรกิจเอง และร้านกาแฟที่เปิดขายแฟรนไชส์ให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจอยากทำธุรกิจร้านกาแฟ ภายใต้แบรนด์ “คาเฟ่อเมซอน” ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจ ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน ปตท.

ดังนั้น ปตท. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า ปตท. เปิดโอกาสให้กับประชาชนโดยทั่วไป มีสิทธิ์เป็นเจ้าของธุรกิจคาเฟ่อเมซอน มิใช่เฉพาะกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทั้งนี้ ร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอน มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคทุกคน
และท้ายสุดท้าย การมโน และ โยง โดยการทำข้อมูลบิดเบือนขึ้นมามีความผิดตาม พรบ. คอมพิวเตอร์ ระวังกันด้วยนะเตง


หมายเหตุ เรื่อง cafe amazon ควรรู้
  • เป็นธุรกิจที่พัฒนาโดย ปตท. 100%
  • เปิดแฟรนไชส์ให้เจ้าของปั๊มหรือเอกชนรายย่อยลงทุน
  • ซื้อเมล็ดกาแฟจากโครงการหลวงและเกษตรกรไทย
  • มีโรงคั่วของตนเอง เปิดเป็นทางการ ปี 2559 มี 1,500 สาขา(2559) สร้างงานและพัฒนา Barista กว่า 7,500 คน
  • สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพและผลิตผลเมล็ดกาแฟ ช่วยเกษตกรเพิ่มรายได้
  • ได้รับความนิยมจากชาวไทยและต่างชาติ ขยายตลาดสู่ ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น นำ Brand ไทยสู่ Brand โลก
ที่มา เรื่อง cafe amazon ควรรู้ Amazon ไม่ใช่ของใคร เป็นของ ปตท. ที่สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทย


รสนาเงิบอีกศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้องอดีตซีอีโอ ปตท. คดีไม่มีมูล

ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้องอดีตซีอีโอ ปตท. คดีไม่มีมูล จากกรณี นางสาวรสนา โตสิตระกูล เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กับพวกรวม 4 คน ว่าให้สัมภาษณ์ใน นสพ.ไทยโพสต์  ฉบับแทบลอยด์ ประจำวันที่ 20-26 ก.ค.2557 และผ่านทางเว็บไซต์ www.thaipost.net หัวข้อข่าว “อย่าปลุกชาตินิยมพลังงาน” 



โดยมีเจตนาใส่ความตนให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และฟ้องว่าเป็นความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาท ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า "คดีไม่มีมูล" จึงพิพากษายกฟ้อง แต่นางสาวรสนาได้อุทธรณ์ ซึ่งในที่สุดศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2559 ว่า คำฟ้องโจทก์ไม่มีมูล เนื่องจากฟังไม่ได้ว่าการที่จำเลยที่ 1 ให้สัมภาษณ์ต่อ นสพ.ไทยโพสต์ หมายความถึงโจทก์ ทั้งเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ก็มิได้เป็นการใส่ความให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง การกระทำของจำเลยทั้ง 4 จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทตามที่โจทก์ยื่นฟ้อง

เรื่องเดิม ศาลยกฟ้องเพราะ ไม่ได้เข้าข่าย ผิด พรบ. คอมพิวเตอร์
อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มได้ที่ ภาพด้านคำพิพากษาด้านล่าง














รสนาฟ้องหมิ่นประมาท สุดท้าย เงิบอีก ศาลยกฟ้องเพราะ ไม่ได้เข้าข่าย ผิด พรบ. คอมพิวเตอร์

ศาลยกฟ้อง 'ไทยโพสต์' ซีอีโอ ปตท. หมิ่น 'รสนา'

รัชดาฯ * ที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์พิพากษาคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.3426/2557 ที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน), บริษัท สารสู่อนาคต จำกัด, นายชูเกียรติ ยิ้มประเสริฐ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ไทยโพสต์, นางกรรณิกา วิริยะกุล กรรมการบริหาร นสพ.ไทยโพสต์ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์



คำฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค. จำเลยได้ใส่ความโจทก์โดยได้ให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาทโจทก์ซึ่งไม่ใช่ความจริง โดยลงพิมพ์บทความในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง

ในวันนี้ (18 พ.ค.) ผู้รับมอบอำนาจทนายโจทก์ และผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 1 เดินทางมาศาล ทั้งนี้ ศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 1-4

นายสัจจะ คงรักษาสุวรรณ ผู้ประสานงานคดี ผู้รับมอบอำนาจจากนายไพรินทร์จำเลยที่ 1 เปิด เผยภายหลังฟังคำพิพากษาว่า คดีนี้เกิดจากการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ในเรื่องเกี่ยว กับการปฏิรูปพลังงาน ลงในบท ความของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ซึ่งในส่วนของการพาดหัวบทความนั้น มีการยกตัวอย่างว่ามีผู้ที่ให้สัม ภาษณ์โจมตีนายไพรินทร์อยู่เสมอนั้นมีชื่อของ น.ส.รสนา อยู่ในพาดหัวบทความ จึงเป็นเหตุให้นางรสนามายื่นฟ้องหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหาย จำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งศาลอาญาได้มีคำพิพากษาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 4 ส่วนเหตุผลที่ยกฟ้องศาลยังไม่ได้บอกรายละเอียด ต้องรอคัดคำพิพากษาอีกครั้งหนึ่ง.

ที่มา : http://www.ryt9.com/s/tpd/2162313

เขาคือ‘ธีระชัย’..? ลูบคมตลาดทุน

เขาคือ‘ธีระชัย’..? ลูบคมตลาดทุน



ธนะชัย ณ นคร

เห็นการเคลื่อนไหวของ “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ในขณะนี้แล้ว มีสิ่งไม่น่าเชื่อหลายประการ

ไม่น่าเชื่อว่า เขาคนนี้คืออดีตผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เคยดำรงตำแหน่งถึง รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพการเงิน

ไม่น่าเชื่อว่า เขาคนนี้คืออดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.

และไม่น่าเชื่อว่า เขาคนนี้คืออดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

และเป็นรมว.คลังที่เคยกำกับกรมการจัดเก็บภาษี คือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต

การเป็นรัฐมนตรีคลัง (หรืออดีตเคยเป็น) ที่น่าจะเข้าใจเรื่องโครงสร้างภาษีของประเทศไทยเป็นอย่างดี

ยิ่งโดยเฉพาะโครงสร้างภาษีปิโตรเลียม และน้ำมันทั้งระบบในประเทศไทยว่า เขามีการจัดเก็บอย่างไร และในแต่ละปี รัฐมีรายได้จากภาษีในกลุ่มธุรกิจนี้เท่าไหร่

อย่าลืมว่า กระทรวงการคลัง คือ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บมจ.ปตท. (PTT)

การเป็นรัฐมนตรีของกระทรวงการคลัง ที่ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท. จึงย่อมน่าจะมีความเข้าใจทั้งประวัติความเป็นมา และบทบาทหน้าที่ของ ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติเป็นอย่างดี

หากคุณธีระชัย ไม่เห็นด้วยกับโครงสร้างของ ปตท.

ไม่เห็นด้วยกับระบบสัมปทานปิโตรเลียม หรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายด้านพลังงานของประเทศไทย

เพราะเหตุใดคุณธีระชัย ถึงไม่เคลื่อนไหวในช่วงที่ตนเองมีอำนาจเล่า

“จุดขาย” ของกลุ่มคุณธีระชัย (ที่ตอนนี้ถูกเรียกเป็นกลุ่ม NGO หรือถูกขนานนามเป็นคณะลิเก) ในการเรียกมวลชนเพื่อให้มาเป็นแนวร่วม คือ ความพยายามบอกว่า หากเรามีการปรับโครงสร้างด้านพลังงานใหม่

คนไทยก็จะได้ใช้ราคาน้ำมันที่ถูกลง!!

แน่นอนว่า ทุกคนก็อยากใช้น้ำมันราคาถูก นั่นจึงเป็นจุดขายที่ดี

และยิ่งบอกว่า พลังงานของไทย ควรเป็นอธิปไตยของคนไทย ก็จะยิ่งเรียกกลุ่มบุคคลให้เข้ามาเป็นแนวร่วมได้อีก เพราะอาจมีคนบางกลุ่มมองว่า เราได้สูญเสียอธิปไตยด้านพลังงานไปแล้ว

ฟังแล้วก็ได้แต่ขำกลิ้ง เพราะความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ถามจริงๆ  กับอดีตรัฐมนตรีคลังท่านนี้ ท่านทราบหรือไม่ว่า ปตท.คือหน่วยงานของประเทศไทยที่เรียกอธิปไตยด้านพลังงานของไทยกลับคืนมา

ก่อน ปตท.จะยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน ไทยเรานั้นถูกครอบงำด้วยบริษัทน้ำมันข้ามชาติมานาน

และปตท.นี่แหละที่เรียกอธิปไตยพลังงานกลับมา

แต่หากบอกว่า ความยิ่งใหญ่ของ ปตท. นั่นแหละที่ทำให้เกิดการผูกขาด ทำให้ประชาชนคนไทยใช้น้ำมันราคาแพง

ผมว่าประเด็นนี้คนเป็นรัฐมนตรีคลัง น่าจะเข้าใจเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดีอีกเช่นกัน และน่าจะเป็นบุคคลที่อธิบาย (อย่างถูกต้อง) เกี่ยวกับโครงสร้างภาษีด้านพลังงานของเราเป็นอย่างไร

ไม่ใช่ไปเอาข้อมูลจากกูเกิ้ล (Google) หรือแหล่งเชื่อถือไม่ได้มากล่าวอ้าง

กระทั่งถูกบุคคลที่เขาทำงานในวงการพลังงานออกมาบอกว่านี่มัน “คณะลิเก” ใช่ไหม

ข้อมูลด้านพลังงานในหลายๆ เรื่องของคุณธีระชัย ถูกตอกกลับจนน่าหงาย

นักวิชาการบางท่านถึงขนาดต้องบอกกับคุณธีระชัยว่า ขอโทษที่บังอาจสอนท่านเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องพลังงาน

พร้อมกับอธิบายให้ฟังถึงข้อเท็จจริง

เรื่องของการจัดตั้งองค์กรพลังงานแห่งใหม่ ท่านมีนัยสำคัญอะไรแอบแฝง ทั้งๆ ที่ทราบดีว่า เราก็มีหน่วยงานกำกับทางด้านนี้ และทำงานได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว

การขุดเจาะปิโตรเลียม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ก็ไม่ได้ส่งผลต่อราคาน้ำมันขายปลีก

เรื่องนี้ท่านอดีตรัฐมนตรีคลัง ทราบหรือไม่

ระบบสัมปทานการขุดเจาะปิโตรเลียมที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ เป็นวิธีที่น่าจะดีที่สุด รัฐไทยไม่ต้องไปเผชิญกับความเสี่ยงด้านการลงทุน

รัฐนอนกินค่าภาคหลวง ค่าสัมปทาน สบายๆ

เพราะเหตุใดถึงต้องให้รัฐไปแบกความเสี่ยงมหาศาลเป็นหมื่นๆ ล้านบาท หรืออาจถึงแสนล้านบาทเช่นนั้น

ทั้งที่ควรให้เอกชนเป็นฝ่ายแบกภาระความเสี่ยง

ท่านเคยเป็นรองผู้ว่าการ ธปท.ด้านเสถียรภาพการเงิน เคยเป็นเลขาธิการ ก.ล.ต. ก็ย่อมเข้าใจเรื่อง “ความเสี่ยง”

มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า การเคลื่อนไหวของท่านนั้น เพียงเพราะผิดหวังจากตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง (อีกครั้ง) ในรัฐบาล “ประยุทธ์ 1” ซึ่งไม่รู้ว่าใช่หรือไม่

กระทั่งนำไปสู่นามใหม่ว่า “พระเอกลิเก”

แทบไม่เชื่อเลยว่าบุคคลท่านนี้คือ “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล”

ที่มา 

ตั้งข้อสงสัยถึง สตง เรื่องการรับรองรายงานบัญชีประจำปีของ ปตท. กับ การตรวจสอบเรื่องคืนท่อก๊าซ

หากท่านผู้อ่านได้เคยอ่านรายงานประจำปี ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ อย่างหนึ่งที่ต้องมีคือ การตรวจสอบเอกสาร รับรองทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายต่างๆ และในกรณีของบริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจด้วยแล้ว รายงานประจำปี ย่อมมีความเข้มงวดในการตรวจสอบจาก หน่วยงานต่างๆ


กลับมาที่เรื่อง การคืนท่อส่งก๊าซ ที่เป็นคดีกันอยู่ขณะนี้ระหว่าง ปตท. กับ คตง. ที่ได้มีการออกสื่อไปต่างๆ ซึ่งขัดกับการระบุลงไปในรายงานประจำปี ของ ปตท. โดยสิ้นเชิง ดังนั้นน่าจะต้องกลับมาตั้งข้อสังเกตุที่เป็นหน่วยงานที่ทำการตรวจสอบบัญชีว่า มีจุดประสงค์ใดกันแน่

1. สตง. ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จากที่ให้ความเห็นเรื่องท่อในทะเลถือเป็นสาธารณะสมบัติ เป็นการตีความโดยไม่เป็นไปตามคำสั่งศาลและการพิจารณาของ ครม. หรือไม่?

2. สตง. บกพร่องในหน้าที่ เนื่องจากได้รับข้อมูลแบ่งแยกทรัพย์สินจาก ปตท. ตั้งแต่เดือนม.ค. 2551 แต่ดำเนินการล่าช้า โดยให้ความเห็นไม่ทันกำหนดเวลาที่ต้องรายงานศาลในเดือน ธ.ค. 51 หรือไม่?

3. สตง. ปกปิดความบกพร่องของตนเอง กล่าวร้ายผู้อื่น ขาดจริยธรรมและจรรยาบรรณของการปฏิบัติหน้าที่หน่วยงานตรวจสอบของรัฐ โดยกล่าวหา ปตท. ว่าให้ข้อมูลไม่ครบต่อศาล ทั้งที่เป็นผู้ให้ข้อมูลล่าช้าเอง และยังปกปิดข้อเท็จจริงที่ศาลมีความเห็นยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรกลับไปที่ผู้ว่า สตง. หรือไม่?

4. สตง. ไม่รักษาจุดยืน ขาดดุลยพินิจในความเหมาะสมของการปฏิบัติหน้าที่ โดยเคยมีหนังสือยอมรับคำตัดสินศาลเป็นที่สิ้นสุด แต่ยังมีความเห็นขัดแย้งตลอดมา สร้างปัญหาให้กับข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทมหาชน ในการปฏิบัติราชการ และสร้างความสับสนให้กับสังคม และความเสียหายกับเศรษฐกิจ หรือไม่?

5. สตง. กระทำความผิดร้ายแรง ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ผู้รับสอบบัญชี ไม่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ผู้รับสอบบัญชีให้บริษัทมหาชนต่อไป เพราะในฐานะผู้รับสอบบัญชีของ ปตท. ที่ได้รับแต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้น เมื่อมีความเห็นว่าท่อในทะเลเป็นทรัพย์สินที่จะต้องคืนให้รัฐ แต่กลับรับรองงบดุลต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 โดยไม่บันทึกความเห็นใดๆ ประกอบงบ กระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนไทยและต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ สร้างความสับสนและเสียหายต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทจดทะเบียน หรือไม่?

6. สตง. ขาดสำนึกในเรื่องการดำเนินการโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน ในกรณีการตรวจสอบทรัพย์สินของ บมจ.ปตท. จากการแปลงสภาพการปิโตรเลียมฯ เนื่องจากบทบาทผู้ตรวจสอบที่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐ และผู้รับสอบบัญชีที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น มีประโยชน์ขัดแย้งกัน ควรที่จะต้องประกาศต่อผู้ถือหุ้น และไม่รับเป็นผู้รับสอบบัญชีให้ ปตท. ตั้งแต่ปี 2552 หรือไม่?

7. สตง. ใช้อำนาจโดยมิชอบ สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกล่าวหาว่าละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่ครม.มีมติมอบหมายการปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างเป็นทางการ และผู้รับมอบหมายได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน หรือไม่?

8. ผู้ว่า สตง. กระทำการเกินอำนาจหน้าที่ ผิดมารยาทและจรรยาบรรณของผู้ตรวจสอบ โดยให้สัมภาษณ์สื่อสาธารณะและให้ข้อมูลบุคคลภายนอกเกี่ยวกับผลการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ คตง.จะเห็นชอบอย่างเป็นทางการ หรือไม่?

และหากเป็นเช่นนี้ การที่ให้ข้อมูลเรื่องการพิจารณานำคืนท่อก๊าซในส่วนเส้นที่ไม่ได้ใช้อำนาจมหาชนในการรอนสิทธิคืนนั้น อาจจะยังส่งผลให้ต้องตีความเรื่องอื่นๆ ของ สตง. เกี่ยวกับทรัพย์สินที่เป็นสาธารณะสมบัติซึ่งต้องคืนให้รัฐ จะมีผลลูกโซ่ถึงรัฐวิสาหกิจที่แปลงสภาพเป็น บมจ. อื่นๆ ตามมาอีกหรือไม่?

หมายเหตุ เอกสารรายงานผู้สอบบัญชีโดย สตง. ในรายงานประจำปีของ ปตท. ตั้งแต่ปี 2550 - 2558 จะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2550 - 2551 มีการระบุเรื่องการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีปรากฎรายละเอียดเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด